ថ្ងៃនេះខ្ញុំទន់ ឱ្យទឹកភ្នែកជន់ ហូរលិចនេត្រា
ហូរចុះហូរលាង ជម្រះទុក្ខា លាងអនុស្សារ
ដែលដក់ក្នុងចិត្ត។
សុំយំតែម្ដង យំព្រោះនួនល្អង ដែលខ្ញុំស្នេហ៍ស្និទ្ធ
យំលាងរូបស្រី ចេញពីជីវិត យំឱ្យឈប់គិត
ឈប់នឹកដល់ស្រី។
បើយំបាត់ខ្វល់ ខ្ញុំយំឱ្យដល់ ទៀបភ្លឺម៉ោងបី
ព្រឹកឡើងដឹងខ្លួន ពួនយំជាថ្មី យំចុះនឹងស្រី
ស្អែកខ្ញុំឈប់ហើយ។
ស្អែកជាមនុស្សថ្មី ស្អែកខ្ញុំគ្មានស្រី ក្នុងចិត្តទៀតឡើយ
នាងជួបអ្នកដែល ល្អនឹងនាងហើយ សូមឱ្យត្រាណត្រើយ
ជួបក្ដីសុខសាន្ត។
(ដោយ ទឹម បឿន ១៩ កុម្ភៈ ២០០៨)
free programes
LABELS
- Khmer krom (5)
- Khmer news (73)
- Phật giáo (8)
- vietnam news (34)
- world news (36)
- พระพุทธศาสนา (3)
- កំណាព្យ (5)
- ប្រវត្តិសាសនាក្នុងលោក ជាភាសាសៀម (6)
- ព្រះពុទ្ធសាសនា (5)
- ភូមិសាស្ត្រកម្ពុជាក្រោម (3)
- ភូមិសាស្ត្រនយោបាយ (15)
- ស្រីហិតោបទេស (3)
FOLLOWERS
FROM ALL COUNTRY
VIET NAM SONG
CHINESE SONG
ENGLISH SONG
Wednesday 16 September 2009
សុំយំតែម្ដង
Posted by sereykh at 19:23 0 comments
Labels: កំណាព្យ
Wednesday 9 September 2009
ศาสนาเต๋า
แนวคิด
1. ศาสนาเต๋า เกิดในประเทศจีน ประมาณ 61 ปี ก่อนพุทธศักราช เริ่มแรกนั้นยังไม่เป็นศาสนา
เป็นเพียงปรัชญาเท่านั้น ไม่มีพิธีกรรม ไม่มีข้อปฏิบัติอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่าข้อคิดและคำสอน ต่อมาภายหลังจึงได้พัฒนาขึ้นเป็นศาสนาที่มีองค์ประกอบตามลักษณะของศาสนา ศาสนาเต๋าเป็นอเทวนิยม ศาสดาของศาสนาเต๋าคือ เล่าจื๊อ
2. คัมภีร์ของศาสนาเต๋า คือคัมภีร์เต้าเตกเกง หลักคำสอนที่สำคัญในศาสนาเต๋า มีดังนี้ สมบัติอันเป็นรัตนะ 3 ประการ ชีวิตจะดีได้ต้องกลมกลืนกับธรรมชาติ ลักษณะคนดีและชีวิตที่มีสุขสูงสุด ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ 3 ประการ และปรัชญาในการดำเนินชีวิต 4 ประการ
3. ศาสนาเต๋ามีพิธีกรรมที่สำคัญดังนี้ พิธีบริโภคอาหารเจ พิธีปราบผีปีศาจ พิธีไล่ผีร้าย พิธีส่งวิญาณผู้ตาย และพิธีกราบไหว้บูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ จุดหมายปลายทางสูงสุดของชีวิตของศาสนาเต๋า อันเป็นความสุขที่แท้จริงและนิรันดร์ก็คือ เต๋า การที่จะเข้าถึงเต๋า หรือรวมอยู่กับเต๋าเป็นเอกภาพเดียวกันได้ จะต้องบำเพ็ญตนให้ดำเนินไปตามทางของธรรมชาติ ให้มีความ สงบระงับ ครองชีวิตในทางที่กลมกลืนกับธรรมชาติสามารถทำใจให้สงบตามทางของธรรมชาติ (เต๋า) ชาวเต๋าเชื่อว่าชีวิตในโลกนี้มีครั้งเดียว จากนั้นไปสู่โลกวิญญาณชั่วนิรันดร
4. ศาสนาเต๋ามีอยู่หลายนิกาย แต่ว่ามีนิกายใหญ่ๆ 2 นิกาย คือนิกายเช็ง-อิ และนิกายชวน-เชน ศาสนาเต๋ามีสัญลักษณ์เป็นรูปเล่าจื้อขี่กระบือ และสัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือรูปหยิน-หยาง
5. ฐานะปัจจุบันของศาสนา ปัจจุบันนี้ศาสนิกของศาสนาเต๋ามีประมาณ 183 ล้านคน กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ชาวจีนอาศัยอยู่มาก เช่น ประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ อยู่ในประเทศจีน
วัตถุประสงค์์
1. เพื่อให้นักศึกษาได้มองเห็นภาพรวมประเด็นที่เป็นสาระสำคัญทางศาสนาของศาสนาเต๋าได้อย่างสมบูรณ์
2. เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาและสามารถถ่ายทอดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ ศาสนา ประวัติศาสดา คัมภีร์สำคัญในศาสนา หลักคำสอนที่สำคัญในศาสนา หลักความเชื่อและจุดหมายสูงสุดในศาสนาของศาสนาเต๋าได้อย่างถูกต้อง
3. เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาและถ่ายทอดเกี่ยวกับพิธีกรรมที่สำคัญทางศาสนา นิกายในศาสนา สัญลักษณ์ของศาสนา และฐานะของศาสนาในปัจจุบันของศาสนาเต๋าได้อย่างถูกต้อง
7.1 ประวัติความเป็นมา
ศาสนาเต๋า เป็นศาสนาที่แปลก คือดั้งเดิมไม่ได้เป็นศาสนา และผู้ที่ถือกันว่าเป็นศาสดาก็ไม่มีส่วนรู้เห็นเลย กล่าวคือเล่าจื๊อได้รับยกย่องให้เป็นศาสดา แต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เล่าจื๊อไม่เคยประกาศตัวเป็นศาสดา และไม่เคยประกาศตั้งศาสนาเต๋า ส่วนที่กลายมาเป็นศาสนาเต๋าก็เพราะความดีและความวิเศษแห่งความรู้ในปรัชญา เต๋าของเล่าจื๊อเป็นเหตุ ทำให้คนยกย่องท่านเป็นศาสดาภายหลังจากที่ท่านสิ้นชีพแล้วหลายร้อยปี เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเล่าจื๊อสิ้นชีพแล้วได้มีสานุศิษย์ผู้เลื่อมใสในคำสอน เป็นจำนวนมาก โดยมีจังจื้อหรือจวงจื้อเป็นหัวหน้าใหญ่ได้ช่วยกันประกาศคำสอนของเล่าจื๊อ อย่างแพร่หลาย จนเป็นเหตุให้ทางบ้านเมืองได้เห็นความสำคัญของเล่าจื๊อมากขึ้นจนได้ยกย่อง ให้สูงขึ้นตามลำดับอย่างเช่น
พ.ศ. 699 จักรพรรดิหวัน (Hwan) ได้ทรงให้จัดทำพิธีเซ่นไหว้เล่าจื๊อเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 1193-1227 เล่าจื๊อได้รับสถาปนาเทียบเท่าพระเจ้าจักรพรรดิ ทั้งให้ถือข้อเขียนทั้งหลายของเล่าจื๊อเป็นข้อสอบไล่ของทางราชการอีกด้วย
ส่วนที่เต๋ากลายมาเป็นศาสนาเนื่องจากในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ราว พ.ศ. 337-763) มีนักพรตรูปหนึ่งชื่อ เตีย เต๋า เล้ง ได้ประกาศตนว่าสำเร็จทิพยภาวะสามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ จึงสถาปนาศาสนาเต๋าขึ้น ณ สำนักภูเขาเหาะเม่งซัวในมณฑลเสฉวน โดยยกเล่าจื๊อเป็นศาสดา และใช้คัมภีร์เต้า เตก เกง1 ซึ่งเป็นผลงานของเล่าจื๊อ เป็นคัมภีร์ของศาสนาเต๋า ส่วนเตีย เต๋า เล้งก็ได้แต่งคัมภีร์สอนศาสนาเต๋าอีกหลายเล่ม แต่ละเล่มจะหนักไปในทางฤทธิ์เดชเวทมนตร์ต่างๆ ตลอดถึงพิธีกรรมขลังๆ เพื่อความสัมฤทธิ์ผลของเวทมนตร์ เช่นมีการปรุงยาอายุวัฒนะกินแล้วเป็นอมตะ หรือเวทมนตร์์สำหรับเหาะเหินเดินอากาศได้คล้ายเทวดา เป็นต้น
เพราะฉะนั้นศาสนาเต๋าจึงมีลักษณะ 2 อย่าง คือถ้าเป็นแบบปรัชญาเต๋าของเล่าจื๊อก็เป็นธรรมชาตินิยม เรียกว่า เต๋าเจีย แต่ถ้าเป็นอย่างคำสอนของเตียเต๋าเล้ง และสังฆราชถัดๆ มาก็เป็นแบบไสยศาสตร์หรือรหัสนิยม (Mysticism) อย่างเช่น จางเต้าหลิง หรือจางหลิง ผู้ได้รับสถาปนาเป็นสังฆราชองค์แรกของศาสนาเต๋า ในราวปี พ.ศ. 577 ก็มีดาบศักดิ์สิทธิ์เชื่อกันว่าดาบของท่านสามารถฆ่าพวกปีศาจแม้อยู่ไกลถึง 1,000 ไมล์ได้ เป็นต้น ศาสนาเต๋าที่มีลักษณะอย่างนี้เรียกกันว่า เต๋า เจียว แต่ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวเฉพาะศาสนาเต๋าในแบบของเล่าจื๊อเป็น สำคัญ
ศาสนาเต๋าหลังจากเป็นศาสนาแล้ว ก็เจริญบ้างเสื่อมบ้าง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางบ้านเมืองเป็นเหตุคือ สมัยใดที่พระเจ้าจักรพรรดิเลื่อมใส ศาสนาเต๋าก็รุ่งเรือง แต่ถ้าตรงกันข้ามก็ตกต่ำ และที่กระทบกระเทือนมากที่สุด ในสมัยที่คอมมิวนิสต์เข้ายึดครองประเทศจีน ความเป็นไปของศาสนาเต๋า สมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงเป็นคอมมิวนิสต์1มีดังนี้
พ.ศ. 331 จักรพรรดิซีฮวงตี่ (Shi Huang Ti) ทรงสั่งให้เผาคัมภีร์ศาสนาขงจื๊อ แล้วยกศาสนาเต๋าขึ้นแทน และทรงส่งเรือไปยังเกาะวิเศษเพื่อค้นหาพฤกษชาติที่กินแล้วเป็นอมตะ
พ.ศ. 699 จักรพรรดิหวัน (Hwan) ได้ทรงจัดทำพิธีเซ่นไหว้เล่าจื๊อเป็นครั้งแรก
พ.ศ. 1117-1124 จักรพรรดิหวู (Wu) ได้ทรงจัดลำดับศาสนาเสียใหม่โดยให้ศาสนา ขงจื๊ออยู่ลำดับที่ 1 ศาสนาเต๋าลำดับที่ 2 และศาสนาพุทธลำดับ 3 ต่อมาทรงรังเกียจศาสนาเต๋าและศาสนาพุทธจึงทรงยกเลิกเสีย ครั้นถึงพระเจ้าติ๋ง (Tsing) จักรพรรดิองค์ถัดมากลับให้สถาปนาศาสนาเต๋าและศาสนาพุทธขึ้นอีก
พ.ศ. 1193-1227 เล่าจื๊อได้รับสถาปนาเทียบเท่าพระเจ้าจักรพรรดิ ทั้งให้ใช้ผลงานการเขียนของเล่าจื๊อ เป็นข้อสอบไล่ของทางราชการอีกด้วย
พ.ศ. 1256-1285 จักรพรรดิไกยืน (Kai Yuen) ทรงประทานคัมภีร์เต๋า เตก เกง ไปทั่วราชอาณาจักรทั้งเสวยพระโอสถที่ทางศาสนาเต๋าปรุงถวาย แสดงว่าพระองค์ทรงเพิ่มความเชื่อถือในไสยศาสตร์ของศาสนาเต๋ามากขึ้นอีก
พ.ศ. 1368-1370 จักรพรรดิเปาหลี (Pao-Li) ทรงขับไล่หมอเต๋าทั้งหมดให้ออกไปอยู่จังหวัดใต้สุด 2 จังหวัดในข้อหาว่าเจ้าเล่ห์เพทุบาย
พ.ศ. 1348-1390 จักรพรรดิหวู ซุง (Wu Tsung) ทรงสั่งให้ปิดวัดและสำนักชีทั้งหมดไม่ว่าเป็นของศาสนาเต๋าหรือศาสนาพุทธ แต่ต่อมากลับสั่งให้ศาสนาเต๋าเป็นศาสนาที่พอพระทัยของพระองค์ ทั้งเสวยพระโอสถที่ทางศาสนาเต๋าปรุงถวาย เพื่อทรงเป็นอมตะและเหาะได้คล้ายเทวดา
พ.ศ. 2204-2264 จักรพรรดิกังสี (Kang Hsi) ทรงสั่งลงโทษหมอเถื่อนพวกศาสนาเต๋า รวมถึงคนที่มารับรักษาด้วย ทั้งทรงห้ามชุมนุมและเดินขบวนของผู้นับถือศาสนาเต๋าทรงพยายามบีบคั้นศาสนา เต๋าทุกนิกาย
พ.ศ. 2443 เกิดพวกขบถมวยขึ้นในนิกายหนึ่งของศาสนาเต๋า พวกนี้เชื่อว่าร่างกายอยู่ยงคงกระพันต่อลูกปืนของต่างชาติ ทั้งนี้ก็เพราะเชื่อตามคำสอนของศาสนาเต๋าที่ว่าเมื่อมาเป็นทหารก็ไม่ต้อง เกรงกลัวต่อศาสตราวุธใดๆ ทั้งสิ้น
ศาสนาเต๋าเคยเจริญรุ่งเรืองในประเทศจีน มีคัมภีร์ทางศาสนา มีนักบวชที่เรียกว่าเต้าสื่อ หรือเต้ายิ้น มีศาสนสถานและพิธีกรรมเป็นของตนเอง และต่อมาราว พ.ศ. 966 จักรพรรดิจีนทรงแต่งตั้งสังฆราชและผู้สืบตำแหน่งแทนมีฐานะเป็นเทียนจื้อ หรืออาจารย์สวรรค์ ครั้นราว พ.ศ. 1559 จางเทียนจื้อได้รับพระราชทานอาณาเขตกว้างขวางในเมืองเกียงสี ถ้ำกวางขาวบนภูเขามังกร-เสือ ซึ่งเชื่อกันว่า จางเต้าหลิงได้พบยาอายุวัฒนะและสิ้นชีพเมื่ออายุ 123 ปี อยู่ในบริเวณนี้ จึงถือกันว่าสถานที่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเต๋า
7.2 ประวัติศาสดา
ผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็นศาสดาแห่งศาสนาเต๋า คือ เล่าจื๊อ (Lao-Tze) เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดคัมภีร์เต้าเตกเกง และมีผลงาน คือ การออกเผยแผ่คำสอนแก้ไขปัญหาสังคม ตลอดจนมีปฏิปทาน่าเลื่อมใส มีผู้นับถือ และเอาเป็นตัวอย่างในการดำรงชีวิต
7.2.1 ชาติกำเนิดและปฐมวัย
เล่าจื๊อเกิดก่อน ค.ศ. 604 หรือประมาณก่อนพุทธศักราช 61 ปี (มีอายุอ่อนกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณ 19 ปี) มีชีวิตระหว่าง 604-520 ก่อนคริสตศักราช เล่าจื๊อเกิดในตระกูลลี (แซ่ลี) บิดามารดาเป็นชาวนาผู้ยากจนในสมัยราชวงศ์จิว (ประมาณ 1122-255 ก่อน ค.ศ.) ณ หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ จูเหยน ในเมืองโฮนาน ภาคกลางของผืนแผ่นดินใหญ่จีน กล่าวกันว่าเกิด ณ บริเวณใต้ต้นหม่อน พอคลอดออกจากท้องแม่ทารกมีผมขาวโพลนออกมา จึงได้นามว่า เล่าจื๊อ หรือ เล่าสือ แปลว่า เด็กแก่ หรือ เฒ่าทารก แต่โดยความหมายแล้วคำว่าแก่นั้นหมายถึงแก่ความรู้ ไม่ใช้แก่เพราะอยู่นาน หรือไม่ใช่แก่เพราะกินข้าว ไม่ใช่เฒ่าเพราะ อยู่นาน นั่นก็คือว่าเมื่อว่าโดยสภาพร่างกายแล้ว เล่าจื๊อเป็นเด็ก แต่เมื่อว่าโดยระดับสติปัญญาแล้วเล่าจื๊อมีระดับสติปัญญาเยี่ยงผู้ใหญ่ ความเป็นปราชญ์มีมาตั้งแต่เป็นเด็กทารก แสดงถึงความมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่และก้าวไกล
บางตำรากล่าวไว้ว่า นอกจากจะคลอดเป็นทารกผมขาวโพลนออกจากท้องแม่แล้ว ยังแสดงปาฏิหาริย์ คือ มือซ้ายชี้ไปบนท้องฟ้า มือขวาชี้ลงแผ่นดิน พร้อมทั้งเปล่งวาจาว่า "ในฟ้าเบื้องบน และในดินเบื้องล่างเต๋าเท่านั้นควรเป็นที่สักการะ"
บางตำรากล่าวไว้ว่า เล่าจื๊ออยู่ในครรภ์มารดาถึง 62 ปี พอคลอดจากครรภ์มารดาก็แก่ผมหงอกขาวความจริงแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ น่าจะหมายความในเชิงเปรียบเทียบว่า การที่เล่าจื๊อได้ค้นพบเต๋าเป็นการเกิดใหม่ (ครั้งที่ 2) ก็ได้กล่าวคือ เล่าจื๊อได้ใช้เวลาในการพยายามค้นคว้าหาวิชาความรู้ ไม่เกี่ยวข้องกับสังคมเลย เมื่อได้หลักลัทธิแล้ว และเชื่อว่าดีแล้วก็ออกเผยแผ่ ตอนนั้นอายุของท่านได้ 62 ปี ก็เท่ากับว่าท่านได้เกิดใหม่ เหมือนกับท่านอยู่ในครรภ์มารดา 62 ปี จึงได้ค้นพบลัทธิใหม่ คือ เต๋า
เล่าจื๊อเป็นคนฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ชอบคิดลึก ช่างไตร่ตรองเป็นนิสัยตั้งแต่เยาว์วัยได้รับการศึกษาจากธรรมชาติมากกว่าจาก คน ได้รับการศึกษานอกระบบ มีหมู่คนและชีวิตเป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะตัว
7.2.2 ชีวิตมัชฌิมวัย
เมื่อเล่าจื๊อ1โตขึ้นทางบ้านเมืองเห็นว่าเป็นคนฉลาดมีสติปัญญาดี จึงรับเข้าเป็นข้าราชการในตำแหน่งบรรณารักษ์ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าหอสมุดหลวงที่นครลกเอี๋ยง อันเป็นราชธานีของกษัตริย์ราชวงศ์จิว รับผิดชอบทำจดหมายเหตุเป็นอาลักษณ์ของพระเจ้าแผ่นดินเล่าจื๊อได้เป็นข้า ราชการทำหน้าที่ให้กับกษัตริย์ราชวงศ์จิวเป็นเวลานาน ได้มีโอกาสศึกษาเหตุการณ์ ศึกษางาน ยิ่งเห็นความจริงอะไรหลายอย่างมากมาย ท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ปฏิบัติตามลัทธิเต๋า เป็นผู้มีคุณธรรมสูง เมื่อมาถึงสมัยหนึ่งซึ่งประเทศชาติประสบปัญหายุ่งเหยิงเพราะการฉ้อราษฎร์บัง หลวง การเอารัดเอาเปรียบในระหว่างข้าราชการด้วยกัน ผู้นำของประเทศไม่สามารถจะแก้ไขได้ เล่าจื๊อเอือมระอาที่จะอยู่กับบุคคลที่ไร้คุณธรรม จนเกิดความท้อแท้ใจ เมื่อหมดหนทางจะแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เล่าจื๊อจึงคิดแก้ปัญหาให้แก่ตนเอง โดยการหลีกหนีสละตำแหน่งสูงในราชการเสีย ปลีกตัวออกไปจากสังคม ออกเดินทางจากแคว้นโฮนานแล้วท่องเที่ยวหนีความยุ่งยากไปทางทิศตะวันตก (ประเทศอินเดีย หรือทิเบต) ลักษณะร่างกายและอากัปกิริยาของเล่าจื๊อกล่าวกันว่าเป็นชายศีรษะล้าน หนวดเครายาว เดินทางไปที่ใดมักจะขี่ควายคู่ชีพเป็นพาหนะ
7.2.3 ชีวิตปัจฉิมวัย
เมื่อเล่าจื๊อเหนื่อยหน่ายสังคมและลาออกจากราชการแล้ว ได้ใช้ควายคู่ชีพเป็นพาหนะท่องเที่ยวไปสอนคนยังที่ต่างๆ วันหนึ่งได้พบกับขงจื๊อซึ่งเป็นนักปราชญ์จีนคนสำคัญอีกคน ทั้งสองได้สนทนาเชิงปุจฉาวิสัชนาธรรมแก่กัน โดยเล่าจื๊อได้แนะนำนักปราชญ์หนุ่มให้ระมัดระวังอย่าทะเยอทะยานมากนัก ดังตัวอย่างข้อความที่สนทนาโต้ตอบกันต่อไปนี้
ขงจื๊อบอกเล่าจื๊อด้วยความเคารพว่า ปรารถนาที่จะแสดงคารวะต่อท่านนักปราชญ์ทั้งผู้ใหญ่ในอดีต เล่าจื๊อตอบว่า คนที่ท่านจะแสดงคารวะเหล่านั้นไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว เหลือแต่เถ้าและกระดูก เลิกคิดเสียเถิดอย่าปรารภกระนั้นเลย
ขงจื๊อถามถึงเรื่องเต๋าว่า ศึกษามาก็มากแล้ว ไม่เคยรู้ว่าอะไรคือเต๋า เล่าจื๊อกลับตอบเป็นทำนองย้อนถามว่า ถ้าเต๋าเข้ามาอยู่ที่ตัวคนได้ ใครเล่าจะไม่ปรารถนาเต๋า ทำไมท่านจึงไม่หาเต๋ามาอยู่กับตัวเล่า
ขงจื๊อกลับไป พวกศิษย์ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ขงจื๊อตอบว่า "นกบินอย่างไรข้าพเจ้าก็เคยรู้ ปลาว่ายน้ำอย่างไร สัตว์อื่นวิ่งอย่างไรก็รู้ และรู้ถึงว่าจะจับสัตว์นั้นได้อย่างไร สัตว์บางชนิดต้องใช้บ่วงจับ บางชนิดต้องใช้เหยื่อจับ อีกหลายชนิดต้องใช้ธนู แต่เดี๋ยวนี้มีสัตว์อีกชนิดหนึ่ง คือ มังกร ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่ามันเลื้อยขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างไร ไม่รู้ว่ามันผ่านก้อนเมฆหรือผ่านขึ้นไปบนสวรรค์ด้วยวิธีไหน วันนี้ข้าพเจ้าได้พบกับท่านเล่าจื๊อพบแล้วก็ทำให้ปลงใจว่า ท่านเล่าจื๊อ "เป็นมังกร" ซึ่งยากที่จะเข้าใจ
เล่าจื๊อเป็นเหมือนมังกรที่น่ากลัว และเหนือกว่าที่ใครจะเข้าใจ เป็นผู้ใฝ่ฝัน แสวงหาความจริงของโลก นิยมการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ ใครทำผิดทำถูก เล่าจื๊อเห็นว่าธรรมชาติลงโทษและให้คุณเอง เล่าจื๊อมองเห็นโลกเป็นบ่วง เหนื่อยหน่ายโลก เล่าจื๊อบอกว่าปล่อยให้โลกเป็นไปตามทางของมัน โลกก็จะสุขสบายเอง เล่าจื๊อจึงปรากฏแก่ขงจื๊อเหมือนคนที่ฝันถึงโลกอื่น โผผินอยู่ในระหว่างก้อนเมฆแห่งความคิดฝันของตนเอง ส่วนขงจื๊อก็คงจะปรากฏแก่เล่าจื๊อเหมือนคนเจ้ากี้เจ้าการที่วุ่นวายในเรื่อง ราวของคนอื่น บุรุษผู้มีอิทธิพลมากที่สุดของของจีนทั้งสองนี้แตกต่างกันอย่างแท้จริงใน วิธีการ ที่จะแก้ไขปัญหาโลกปัญหาสังคม ด้วยวิธีการของตนเอง พูดง่ายๆ ขงจื๊อหนักไปในทางโลก ต้องการอยู่ในโลก ส่วนเล่าจื๊อสอนหนักไปในทางธรรม ต้องการออกนอกโลก แม้จะแตกต่างกันในวิธีการและพฤติกรรม แต่ก็มีเป้าหมายตรงกัน นั้นก็คือ ความสันติสุขของปวงมนุษยชาติ โดยเฉพาะผืนแผ่นดินใหญ่จีน
เล่าจื๊อบำเพ็ญตนเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ชอบความเรียบง่าย ชอบความสงบสงัด ความไม่วุ่นวาย พอใจความถ่อมตัว มุ่งรักษาความดี และช่วยทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยเมตตาจิต ลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเล่าจื๊อ ดังที่ปรากฏในคัมภีร์ เต้า เตก เกง ว่า
"หมู่ชนทั้งหลายเป็นผู้มีความสุข ข้าพเจ้าเป็นคนชอบสงัด ชอบอยู่แต่ลำพัง จงติเตียน ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าไม่ต้องการความสุขเช่นหมู่ชนทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นคนโง่คนขลาด ข้าพเจ้าเป็นคนแตกต่างจากผู้มีความสุขทั้งหลาย ข้าพเจ้าจากคนทั้งหลายมาเพื่อแสวงหาเต๋า (สภาพอันเป็นไปตามธรรมชาติ)"
"ชาวโลกทั้งปวงกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นปราชญ์ ข้าพเจ้าหาได้เป็นดังคำกล่าวของคนทั้งหลายไม่ แต่ข้าพเจ้ามีสมบัติอันเป็นแก้ว 3 ประการในตัวข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าพยายามให้เกิดมีขึ้นในตนเสมอ และคนทั้งหลายควรดูแลและรักษาไว้ให้ดี สมบัติ 3 อย่างนั้น คือ ความเมตตากรุณา ความกระเหม็ดกระแหม่ และความอ่อนน้อมถ่อมตน"
"ถ้อยคำของข้าพเจ้าง่ายที่จะรู้ ง่ายแก่การปฏิบัติ แต่ไม่มีใครสามารถรู้และปฏิบัติได้ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่รู้จักธรรมชาติ และไม่รู้จักข้าพเจ้าด้วย"
ลักษณะอันเป็นคุณธรรม 3 ประการ คือ ความเมตตากรุณา ความกระเหม็ดกระแหม่ และความอ่อนน้อมถ่อมตน ถือว่าเป็นแก้ว 3 ประการภายในตัวของเล่าจื๊อ
เล่าจื๊อมีอายุยืนยาว อาจจะมีอายุยืนยาวกว่า 160 ปี ก็ได้ ปราชญ์บางคนกล่าวว่ามากกว่า 200 ปี ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าเล่าจื๊อปฏิบัติเข้าถึงเต๋า ผู้เข้าถึงเต๋าจะมีอายุยืนหรือไม่ตาย หรือถ้าตายร่างกายก็จะไม่เปื่อยเน่า เล่าจื๊อได้ใช้ควายคู่ชีพเป็นพาหนะเดินทางหนีจากผืนแผ่นดินใหญ่ไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตก เมื่อไปถึงพรมแดนที่ผ่านเข้าออกนายด่านผู้กำกับทางผ่านเข้าออกอยู่จำเล่า จื๊อได้ จึงได้ขอร้องเล่าจื๊อว่าก่อนจะจากไปขอให้ช่วยชี้แจงเรื่องปรัชญาแห่งชีวิต ที่ได้ผ่านมา บันทึกไว้เพื่อประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง เล่าจื๊อยินยอมให้ทำบันทึกคำสอนของตนไว้ให้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องหลักเกี่ยวกับสากลโลก ธรรมชาติและชีวิต ให้ชื่อว่า "เต้า-เตก-เกง" (Tao-Teh-Ching) เป็นคำประมาณ 5,500 คำ พวกศิษย์ได้รวบรวมขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งภายหลังกลายเป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาเต๋า
ตั้งแต่ขึ้นหลังควายจากไปคราวนั้นแล้ว เล่าจื๊อก็สาบสูญไปไม่ได้กลับมาให้ใครเห็นหน้าอีก
เนื่องจากชีวิตบั้นปลายของเล่าจื๊อเป็นชีวิตที่สงบสงัด แสวงหาธรรม หาความกลมกลืนกับธรรมชาติ ผู้นับถือลัทธิเล่าจื๊อในสมัยต่อมาจึงบำเพ็ญตนเป็นนักบวช อาศัยอยู่ตามภูผาป่าไม้ บำเพ็ญตนเป็นผู้เสียสละความวุ่นวายทั้งหลายในโลกเป็นเต้าสือ มีความเป็นอยู่ตามภาวะของธรรมชาติ
ชาวจีนนับถือเล่าจื๊อว่าเป็นมหาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีน ได้สร้างปูชนียวัตถุเป็นอนุสรณ์สถานที่ระลึกที่บูชาขึ้น ณ หมู่บ้านจูเหยน อันเป็นถิ่นกำเนิดของเล่าจื๊อ ยิ่งนานวันคำสอนของเล่าจื๊อก็ยิ่งแพร่หลายกลายเป็นฐานใจของชาวจีน พระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่งของจีนที่ขึ้นเสวยราชย์ระหว่าง พ.ศ. 1193-1231 ประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกายกย่องเล่าจื๊อ ขึ้นเป็นปฐมจักรพรรดิ
7.3 คัมภีร์ในศาสนา
คัมภีร์ของศาสนาเต๋า คือ คัมภีร์ เต้า เตก เกง (Tao-Teh-Ching) คำว่า "เต้า" หรือ "เต๋า" แปลว่า ทาง "เตก" แปลว่า บุญ ความดี หรือคุณธรรม " เกง" แปลว่า สูตร หรือวรรณคดีชั้นสูง รวมกันแล้วอาจแปลได้ความว่า คัมภีร์แห่งเต๋าและคุณความดี ตามประวัติกล่าวว่า เล่าจื๊อเขียนขึ้นหลังจากได้ลาออกจากตำแหน่งบรรณารักษ์แห่งหอสมุดหลวง และได้มอบให้นายด่านที่พรมแดนระหว่างประเทศจีนกับธิเบต อักษรจารึกเป็นภาษาจีน จัดเป็นหัวข้อได้ 81 ข้อ เป็นถ้อยคำ 5,500 คำ และต่อมาได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่นละติน อังกฤษ ฝรั่งเศส มากเป็น ที่สองของคัมภีร์ไบเบิ้ลแห่งศาสนาคริสต์
หลักธรรมในคัมภีร์เต้าเตกเกง แสดงถึงเต๋ามีลักษณะเป็นพลังงานชนิดหนึ่งที่ทำให้ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเคลื่อนไหว และควบคุมสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นให้เป็นไปตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังบรรจุหลักธรรมที่สอนให้คนมีคุณธรรม ไม่ควรทะเยอทะยาน ไม่โอ้อวด ไม่แข่งดีแย่งความเป็นใหญ่ ให้มีความสันโดษ เป็นต้น สรุปแล้วก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับเต๋า คุณธรรม และจริยธรรม
7.4 หลักคำสอนที่สำคัญ
7.4.1 สมบัติอันเป็นรัตนะ (แก้ว) 3 ประการ
สิ่งที่ท่านเล่าจื๊อสอนให้บำเพ็ญให้เกิดให้มีในทุกๆ คน เพื่อความอยู่ดีของสังคม ก็คือ รัตนะ 3 ประการ ดังที่เล่าจื๊อได้กล่าวไว้ว่า "ชาวโลกทั้งปวงกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นนักปราชญ์ ข้าพเจ้าหาได้เป็นดังคำกล่าวของคนทั้งหลาย แต่ข้าพเจ้ามีสมบัติอันเป็นแก้ว 3 ประการ อยู่ในตัวข้าพเจ้า ที่คนทั้งหลายควรดูแลและรักษากันไว้ให้ดีคือ
1. ความเมตตากรุณา
2. ความกระเหม็ดกระแหม่
3. ความอ่อนน้อมถ่อมตน
เพราะมีความเมตตากรุณา บุคคลก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น
เพราะมีความกระเหม็ดกระแหม่ บุคคลก็ร่ำรวยได้
เพราะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน บุคคลก็สามารถมีสติปัญญาเจริญเต็มที่ได้
ถ้าละทิ้งเมตตากรุณา รักษาไว้แต่ความกล้าหาญ
ถ้าละทิ้งความสำรวม รักษาไว้แต่อำนาจ
ถ้าละทิ้งการตามหลัง แต่ชอบรุดออกหน้าเขาก็ตาย"
7.4.2 ชีวิตจะดีได้ต้องกลมกลืนกับธรรมชาติ
เล่าจื๊อสอนให้คนเราดำเนินชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด คนจะทำดีและทำชั่วไม่ต้องมีกฎหมายบังคับ แต่ปล่อยให้ธรรมชาติให้คุณและลงโทษเอง ให้เอาธรรมะเข้าสู้อธรรม เอาความสัตย์เข้าสู้อสัตย์ เอาความดีเข้าสู่ความชั่ว ดังที่ว่า
"คนที่ดีต่อเรา เราก็ดีต่อ
คนที่ไม่ดีต่อเรา เราก็ดีต่อด้วย
เพราะฉะนั้นทุกคน จึงควรเป็นคนดี
คนที่ซื่อสัตย์ต่อเรา เราก็ซื่อสัตย์ต่อด้วย
คนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา เราก็ซื่อสัตย์ต่อด้วย
เพราะฉะนั้น ทุกคน จึงควรเป็นคนซื่อสัตย์"
หรือสอนให้เอาความอ่อนโยนสู้ความแข็งกร้าว (Gentles overcome strengths) ดังที่ว่า
"เมื่อคนเราเกิดนั้น เขาอ่อนและไม่แข็งแรง
แต่เมื่อตาย เขาแข็งและกระด้าง
เมื่อสัตว์และพืชยังมีชีวิต ก็อ่อนและดัดได้
แต่เมื่อตาย ก็เปราะและแห้ง
เพราะฉะนั้น ความแข็งและความกระด้าง จึงเป็นพวกพ้องของความตาย
ความอ่อนและความสุภาพ จึงเป็นพวกพ้องของความเป็น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อกองทัพแข็งกร้าว จึงแพ้ในสงคราม
เมื่อต้นไม้แข็ง จึงถูกโค่นลง"
"สิ่งที่ใหญ่และแข็งแรง จะอยู่ข้างล่าง
สิ่งที่สุภาพและอ่อนโยน จะอยู่ข้างบน..."
7.4.3 ลักษณะคนดีและชีวิตที่มีสุขสูงสุด
เล่าจื๊อสอนไว้ว่า "คนดีที่สุดมีลักษณะเหมือนน้ำ น้ำทำประโยชน์ให้แก่ทุกสิ่ง และไม่พยายามแก่งแย่งแข่งดีกับสิ่งใดๆ เลย น้ำขังอยู่ในที่ต่ำที่สุด ซึ่งเป็นที่ใกล้เต๋า..." (สิ่งทั้งหลายเจริญเติบโตขึ้นมาด้วยน้ำ แต่น้ำไม่พยายามจะเลื่อนตัวเองให้ไปอยู่ระดับสูง น้ำกลับพอใจอยู่ในที่ต่ำที่ทุกสิ่งทุกอย่างพยายามหลีกเลี่ยง นี่แหละคือลักษณะหรือธรรมชาติของ "เต๋า" )
ชีวิตที่เป็นไปง่ายๆ ไม่มีการแก่งแย่งแข่งเด่น แข่งดี ปล่อยให้เป็นไปตามวิวัฒนาการของธรรมชาติไม่มีการดิ้นรนเพื่อแสวงหาตำแหน่ง หน้าที่ ให้เกิดอำนาจแก่ตน ทำประโยชน์ให้ ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนคือ ชีวิตที่มีสุขสูงสุด ตามทรรศนะของเล่าจื๊อ
7.4.4 ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ 3 ประการ
สิ่งที่เล่าจื๊อสอนให้บุคคลเห็นและต้องถือเป็นหลักสำคัญของศาสนาเต๋า นั่นก็คือ ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ 3 ประการ ได้แก่
1. สาระหรือรากฐานเดิม (ซิง) ข้อนี้มุ่งถึงสวรรค์ เรียกว่า วู-ซิง เทียนชุน หรือเทียน-เปาชุน โดยบุคลาธิษฐานเป็นมหาเทพสถิตอยู่ในอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ มี พระวรกายเป็นหยก ทรงเปล่งรัศมีดุจแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ให้คนเห็นความจริงในโลก
2. พลัง (จิ) คือ พลังแห่งสติปัญญาความสามารถ เรียกว่า วูซี-เทียนชุน หรือ หลิงเปาชุน โดยบุคลาธิษฐานเป็นมหาเทพ สถิตอยู่ในอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ ทรงแบ่งเวลาออกเป็นวัน คืน ฤดู ทรงเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติคู่แห่งโลก คือ หยางและหยิน (ในโลกนี้ล้วนมีคู่ เช่น มืด สว่าง, พระอาทิตย์ พระจันทร์, หญิง ชาย เป็นต้น)
3. วิญญาณ เรียกว่า ฟานซิง-เทียนชุน หรือเชนเปาชุน โดยบุคลาธิษฐานเป็นจอมแห่งวิญญาณทั้งหลาย สถิตอยู่ในอาณาจักรอันเป็นอมตะของอมรทั้งปวง และเป็นผู้ทรงความบริสุทธิ์ยิ่ง เป็นมหาเทพเท่ากับตัวเล่าจื๊อผู้เป็นวิญญาณบริสุทธิ์อวตารลงมาสั่งสอนมนุษย์ ถ้าจะเปรียบก็เท่ากับปรมาตมันหรือพระพรหมในศาสนาพราหมณ์
7.4.5 ปรัชญาในการดำเนินชีวิต มี 4 ประการ ชีวิตจะดีได้ จะต้องดำเนินในทางดังนี้
1. จื้อไจ คือ รู้จักตัวของตัวเองให้ถูกต้อง
2. จื้อเซง คือ ชนะตัวเองให้ได้
3. จื้อจก คือ มีความรู้จักพอด้วยตนเอง
4. จี่อีเต๋า คือ มีเต๋าเป็นอุดมคติ
7.5 หลักความเชื่อและจุดหมายสูงสุด
ปรัชญาเต๋า เชื่อว่าเต๋าเป็นธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นพลังแห่งความดีงามสูงสุด ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นแต่ละคนควรมุ่งเข้าถึงเต๋าและใครที่สามารถเข้าถึงเต๋าก็จะเป็นอม ตบุคคลอมตบุคคลอาจเรียกได้หลายอย่าง เช่น สัตยบุคคลบ้าง ฤาษีบ้าง เทพเจ้าบ้าง ผู้วิเศษบ้างอมตบุคคลมี 2 แบบ คืออมตบุคคลป่า และอมตบุคคลบ้าน คือ ฤาษีที่หลีกหนีจากสังคมอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร หาความวิเวกมีเต๋าเป็นจุดหมาย จวงจื๊อ1ได้กล่าวถึงฤาษีประเภทนี้ไว้ว่า
ณ ภูเขาโกเซียซัวอันไกลลิบมีมนุษย์ทิพย์อยู่คนหนึ่งมีผิวขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ กิริยามารยาทอ่อนโยนสงบเสงี่ยมดุจดรุณีสาว มีลมและน้ำค้างเป็นอาหาร ใช้ปุยเมฆบ้าง มังกรบ้าง เป็นพาหนะเที่ยวไปทั่วมหาสมุทรทั้ง 4 และเนื่องจากมีสมาธิแก่กล้าจึงสามารถบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ในที่ที่ท่านผ่านไป... อันตรายทั้งหลายไม่สามารถกล้ำกลายทำร้ายท่านได้ แม้น้ำท่วมโลกก็ไม่อาจท่วมท่าน ไฟที่ร้อนแรงที่สุดสามารถเผาก้อนหินหรือเหล็กให้ละลายได้ก็ไม่อาจทำอันตราย ท่านได้ หรืออากาศจะเย็นเป็นหิมะทำลายสิ่งทั้งหลาย ก็ไม่อาจทำให้ท่านหนาวตาย... สรุปแล้วไม่มีอะไรสามารถทำให้ท่านเดือดร้อนหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้ ส่วนฤาษีบ้านยังตั้งอาศรมอยู่ใกล้เมืองยังเกี่ยวข้องกับสังคม แต่ก็ไม่ถูกอารมณ์โลกครอบงำ เพราะรู้แจ้งแทงตลอดในเต๋า จึงไม่หวั่นไหวในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ สัตยบุคคลเวลาหลับก็ไม่ฝันเวลาตื่นก็ไม่วิตกกังวล ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ยินดีในการเกิดไม่ยินร้ายต่อการตาย เห็นความเกิดและความตายเป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนความเชื่อของศาสนาเต๋าแบบเต๋า เจียว ก็เป็นไปในทางอภินิหารและความลี้ลับ อย่างเช่นจาง เต๋า หลิง ผู้นำศาสนาเต๋าในคริสต์ศตวรรษที่ 2 ก็ได้ไปตั้งสำนักที่ภูเขา โฮ หมิง ซาน มณฑลเสฉวน กล่าวกันว่า จาง เต๋า หลิง ได้พบกับเล่าจื๊อซึ่งกลายเป็นอมตะที่นั่น เล่าจื๊อได้สอน จาง เต๋า หลิงว่า มีภูตผีปีศาจร้ายมากมายอยู่ทั่วไป คอยนำโรคและความตายตลอดทั้งความหายนะต่างๆ มาให้มนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงควรรู้วิธีที่จะเอาชนะวิญญาณร้ายเหล่านั้น เพื่อจะได้มีชีวิตยืนยาว ไม่เจ็บป่วยและถ้าเก่งกล้าคาถาอาคมมากก็อาจนำภูตผีปีศาจร้ายมาใช้งาน เช่น ให้ออกรบแทนทหารได้ นอกจากนี้เล่าจื๊อยังได้มอบดาบกายสิทธิ์ 2 เล่มให้จาง เต๋า หลิง ด้วย
สำหรับจุดมุ่งหมายสูงสุดของทั้ง 2 นิกายก็เพื่อเข้าถึงเต๋าเหมือนกันจะต่างก็แต่แบบ เต๋า เจีย มุ่งเข้าถึง เต๋า จิตจะมีแต่ความสงบสุขเพราะรู้เท่าทันความจริง ส่วนแบบเต๋า เจียวมุ่งเข้าหาเต๋า เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ทำเสน่ห์เล่ห์กล ดูโชคชะตา รักษาโรค คงกะพันชาตรี และเหาะเหินเดินอากาศ เป็นต้น
7.6 สถานที่ทำพิธีกรรม
วัดหรือสถานที่ทำพิธีกรรมของลัทธิเต๋ามีลักษณะเหมือนศาลเจ้าของจีนโดยทั่วๆ ไปเพียงแต่การตบแต่งภายในที่จะตั้งแท่นที่บูชานั้น ออกจะพิถีพิถันและมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์มากมาย แม้ในไต้หวันซึ่งเป็นแหล่งที่มีผู้นับถือลัทธิเต๋ามากก็ยังมีการปฏิบัติใน เรื่องนี้ต่างกันออกไป ระหว่างไต้หวันที่อยู่ตอนเหนือและตอนใต้ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าและไสยศาสตร์ และความต้องการที่จะทำให้เกิดสิริมงคลแก่ผู้เคารพบูชา
อย่างไรก็ตามโดยทั่วๆ ไปแล้ว ภายในศาลเจ้านิยมติดภาพเขียนของเหล่าเทพเจ้าและปรมาจารย์คนสำคัญของลัทธิ เต๋า แต่จะติดตั้งในทิศทางตำแหน่งใดนั้น แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ภาพปรมาจารย์ที่สำคัญของเต๋ามีดังนี้คือ
1. ภาพของจางเต๋าหลิงในท่าขี่เสือ ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของความเชื่อที่เล่าสืบกันมาว่าท่านเคยขี่เสือทะยานขึ้นสู่ สวรรค์ และกลับลงมาพร้อมกับพลังอำนาจแห่งสววรค์ที่ได้รับจากเทพเจ้า
2. ภาพของเล่าจื๊อในชุดสีเหลือง ท่านเป็นปรมาจารย์คนสำคัญที่เปิดเผยคำสอนอันเร้นลับให้แก่ จางเต๋าหลิง
3. ภาพของเหวินเจียน ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของนักรบเต๋าผู้ปกป้องศาลเจ้าทางด้านตะวันออก
4. ภาพของจูยีในชุดสีแดง สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์และหัวใจ แสงแห่งดวงอาทิตย์จะช่วยขับไล่ความมืดและความชั่วร้าย ส่วนหัวใจจะช่วยเปิดทางให้เราได้ติดต่อกับเต๋า ภาพของจูยีนิยมติดไว้ใกล้ๆ กับภาพของเต๋าหลิง ในมือของจูยีจะถือเอกสารสีเหลืองซึ่งเชื่อกันว่า เป็นคำสั่งเปิดสวรรค์
5. ภาพของพระจักรพรรดิในชุดนักรบ นิยมเรียกกันว่า พระจักรพรรดิแห่งทิศเหนือ ภาพของพระองค์จะแขวนไว้ตรงข้ามกับภาพของจางเต๋าหลิง
นอกจากนี้ยังมีการตั้งโต๊ะพิธีภายในศาลเจ้าสำหรับเป็นที่วางของเซ่นไหว้ตาม ทิศทางต่างๆ ภายในศาลจะมีของเซ่นไหว้เฉพาะทิศนั้นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทพเจ้าองค์ใดสถิตในที่ใด และถ้ามีการจัดพิธีกรรมใหญ่มากเท่าใด การตั้งโต๊ะก็จะเพิ่มมากขึ้นจนบางครั้งอาจจะเลยมาภายนอกศาลเจ้าได้
สำหรับพระผู้ทำพิธีกรรมของลัทธิเต๋านั้นมี 2 พวก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนิกาย ถ้าเป็นพวกชวนเชนเจียว นักบวชในนิกายนี้ส่วนมากนิยมสละโสด ปฏิบัติเคร่งครัดมาก มีการทำสมาธิ และดำเนินชีวิตแบบสมถะคล้ายกับนักบวชในพุทธศาสนา ไม่ใคร่มีพิธีกรรมที่พิถีพิถัน ส่วนพวกนิกายเช็งอิ นักบวชสามารถมีครอบครัวได้ และมีหน้าที่ทำพิธีกรรมปัดเป่าความชั่วร้าย และเสริมสิริมงคลให้แก่ผู้ทุกข์ร้อน เมื่อทำพิธีกรรมสำคัญ พระเหล่านี้จะมีชุดเสื้อผ้าสำหรับทำพิธีกรรมโดยเฉพาะ และชุดเหล่านี้มีความงดงามวิจิตรพิสดารมาก
ชุดที่ใช้ทำพิธีกรรมมีทั้งหมด 3 ชุด และแต่ละชุดนั้นใช้ในวาระต่างกัน ชุดเหล่านี้ได้แก่ เจียงอิ เต๋าเป้า และไหชิง
เต๋าเป้า เป็นชุดที่ใช้บ่อยมากและเกือบจะทุกพิธีกรรม มีสีแดง ปักลวดลายหยินหยาง และถ้าเป็นเต๋าเป้าของหัวหน้าผู้ทำพิธีกรรมจะมีสีส้มเพื่อแสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างระหว่างผู้ช่วยทำพิธีกรรมและหัวหน้าพระผู้ทำพิธีกรรม ลวดลายชุดเต๋าเป้าของหัวหน้าพระจะละเอียดพิสดารปักทั้งผืน แทบไม่มีที่ว่าง
เจียงอิ เป็นชุดที่ใช้ในพิธีกรรมที่เป็นทางการและเป็นพิธีกรรมที่ค่อนข้างสำคัญ หัวหน้าพระใส่ชุดนี้เพื่อแสดงตนว่าเป็นคนของสวรรค์ เนื้อผ้าเป็นผ้าไหมสีแดง มีการปักลวดลายที่ละเอียดมากแสดงถึงสวรรค์และจักรวาล ถ้าหัวหน้าพระใส่ชุดนี้ ผู้ช่วยจะต้องใส่ชุดเต๋าเป้า และถ้าหัวหน้าพระใส่ชุดเต๋าเป้า พวกผู้ช่วยจะต้องใส่ชุดไหชิง
ไหชิง ถ้าเป็นไต้หวันทางใต้มีทั้งสีดำและสีส้ม เป็นชุดที่ใส่ในพิธีกรรมพื้นๆ ทั่วๆ ไป เช่นเวลาสวดมนต์และพิธีกรรมที่ไม่เป็นทางการ
7.7 พิธีกรรมที่สำคัญ
7.7.1 พิธีบริโภคอาหารเจ ศาสนิกชนเต๋าในสมัยต่อมาได้มีลักษณะผิดเพี้ยนไปจากหลักการในคัมภีร์เต้าเตก เกง คือมีทั้งเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์ทั้งในทางที่ปรับให้มีความประพฤติ ปฏิบัติชอบโดยนำเอาศีล 5 ทางพุทธศาสนาไปเป็นแนวปฏิบัติ และมีการบริโภคอาหารแบบมังสวิรัติคือไม่บริโภคเนื้อสัตว์ จัดให้มีเทศกาลของการบริโภคอาหารเจประจำปีขึ้น ผู้ที่ถือเคร่งครัดอาจปฏิญาณตนที่จะบริโภคอาหารเจเป็นประจำตลอดชีพ ผู้ที่ค่อนข้างเคร่งครัดจะเว้นอาหารเนื้อสัตว์ในวัน 1 ค่ำ และวัน 15 ค่ำ ของเดือนทางจันทรคติของจีน แต่คนสามัญธรรมดาทั่วไป จะถือบริโภคอาหารเจปีละ 1 ครั้ง เป็นเทศกาลกินเจ คือ ตั้งแต่วัน 1 ค่ำ เดือน 9 ติดต่อกันไปเป็นเวลา 10 วัน ซึ่งตกราวๆ เดือน 11 ของไทย และในการกินเจตามเทศกาลนี้ ผู้จะกินเจต้องล้างท้องก่อนถึงกำหนด 3 วัน และบางคนอาจกินเจปิดท้ายอีก 1-3 วัน
7.7.2 พิธีปราบผีปีศาจ ศาสนิกชนเต๋าเชื่อว่าภูตผีปีศาจร้ายต่างๆ นั้น สามารถที่จะขับไล่และป้องกันได้ถ้ารู้จักวิธี เช่น ถ้าเดินป่าก็ต้องร้องเพลงหรือผิวปากให้เป็นเสียงเพลง ผีเจ้าป่าไม่ชอบเสียงเพลง เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็จะหนีให้ห่างไกลเหมือนยุงกลัวควันไฟหรือถ้ากลัวว่าผี จะเดินตามเข้าไปในบ้านด้วย พอเดินมาถึงประตูบ้านก็ต้องหยุดยืนหมุนตัวสัก 2-3 รอบก่อนแล้วค่อยเข้าบ้าน เพราะถ้ามีผีตามมาจะทำให้มันหน้ามืดตาลาย ถึงกับวิ่งชนกำแพงหรือรั้วบ้านก็ได้ หรือจะวาดรูปป่าไม้น้อยใหญ่ไว้ที่ประตูบ้าน เมื่อภูตผีมารร้ายต่างๆ มาเห็นเข้าก็จะเข้าใจว่าเป็นป่าใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกมันมากกว่าที่จะ เป็นช่องห้องหอของใครๆ แล้วก็จะไม่ทำร้ายแก่ผู้ใด เป็นต้น
7.7.3 พิธีกรรมไล่ผีร้าย พวกเต๋าเชื่อว่ามีภูตผีปีศาจร้ายมากมายคอยหลอกหลอนทำร้ายผู้คน เช่น ปรากฏร่างน่าเกลียดน่ากลัว หรือทำเสียงแปลกๆ เป็นต้น ทำให้คนถูกหลอกเจ็บป่วยได้ จึงเกิดกรรมวิธีไล่ผีร้ายขึ้นมา โดยมีพระเต๋าเป็นผู้ประกอบพิธี พระเต๋าแต่ละรูปที่มาประกอบพิธีจะสวมหมวกติดดาว 7 ดวง และผ้ายันต์ เมื่อเริ่มพิธี พระเต๋า 5 รูป จะถือธง 5 ธง คือธงสีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาว และสีดำ โดยแต่ละรูปจะยืนอยู่แต่ละทิศ คือทิศตะวันออก ตะวันตก กลางและทิศเหนือ ในพิธีจะแขวนรูปเทพเจ้าของศาสนาเต๋าไว้ จุดธูปและนำน้ำมาทำน้ำมนต์ พระเต๋าจะบรรเลงเครื่องดนตรี พระเต๋าองค์หนึ่งถือดาบและน้ำ อีกรูปหนึ่งจะถือธงมีดาว 7 ดวง และอีกองค์หนึ่งจะถือแส้คอยขับไล่พวกผีปีศาจร้าย พระเต๋าทั้งหมดยังจะต้องช่วยกันสวดอัญเชิญเทวดาต่างๆ ให้มาช่วยจับผีร้ายให้หมดไปด้วย
7.7.4 พิธีส่งวิญญาณผู้ตาย คนจีนให้ความสำคัญต่อบรรพบุรุษมาก ถือเรื่องสายโลหิตเป็นสำคัญ ดังนั้น เมื่อมีญาติตายจะต้องประกอบพิธีกรรมเพื่อช่วยให้วิญญาณคนตายไปสู่สุคติ อยู่อย่างเป็นสุข ไม่ถูกผีปีศาจร้ายรบกวน การประกอบพิธีก็ลดหลั่นกันไปตามฐานะผู้ตายและเจ้าภาพ อย่างเช่น คนชั้นสูงตาย และเจ้าภาพเป็นผู้มีฐานะดีก็อาจนิมนต์พระเต๋ามาประกอบพิธีถึง 49 รูป และประกอบพิธีนานถึง 49 วัน แต่ถ้าคนชั้นกลางตาย ก็อาจนิมนต์พระเต๋าอย่างน้อย 1 รูป มาประกอบพิธีตั้งแต่ 1-3 วันตามแต่ฐานะการเงินของเจ้าภาพพระเต๋าจะบรรเลงดนตรีและร่ายมนตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยให้คนตายพ้นจากถูกลงโทษในโลกวิญญาณ ในการทำพิธี พระเต๋าจะใช้สีแดงสดเขียนชื่อ วันเกิด วันตายและที่อยู่ของผู้ตายลงบนกระดาษสีเหลือง 2 แผ่น และประทับตราประจำวัดลงบนกระดาษ ถือกันว่ากระดาษแผ่นนั้น จะเป็นเสมือนใบรับรองผู้ตาย กระดาษแผ่น 1 จะใส่ไว้ในโลง อีกแผ่นหนึ่งจะถูกเผา เชื่อกันว่าถ้าทำดังกล่าวจะช่วยให้วิญญาณผู้ตายไปถึงเทพเจ้าโดยตรง ไม่ต้องถูกวิญญาณท้องถิ่นคอยหน่วงเหนี่ยว และขณะที่หามโลงไปเผา ก็จะมีพระเต๋าเดินนำหน้า คอยสั่นกระดิ่ง บรรเลงดนตรี และสวดมนต์ในขณะเดียวกันด้วย
7.7.5 พิธีกราบไหว้บูชาวิญญาณของบรรพบุรุษ ชาวจีน ไม่เฉพาะศาสนิกชนเต๋าเท่านั้น นิยมกราบไหว้บูชาวิญญาณของบรรพบุรุษอย่างลึกซึ้ง พวกเขามีความเชื่ออย่างมั่นคงว่าสิ่งทั้งหลายได้มีวิญญาณสิงสถิตอยู่ทั้งหมด และเชื่อว่าถ้าลูกหลานมีความกตัญญูกราบไหว้วิญญาณบรรพบุรุษแล้ว วิญญาณเหล่านั้นจะต้องดูแลคุ้มครองลูกๆ หลานๆ ผู้ยังมีชีวิตอยู่ให้มีความเป็นอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข พิธีปฏิบัติก็คล้ายๆ กับที่ชาวจีนเมืองไทยประพฤติปฏิบัติกันในแต่ละปี คือ จะพากันไปทำความสะอาดและตกแต่งฮวงซุ้ย จุดธูป เซ่นสังเวยดวงวิญญาณด้วยเหล้า และอาหาร อีกทั้งเผากระดาษเงินกระดาษทองส่งไปให้ผู้ตายด้วย
7.8 นิกายในศาสนา
ศาสนาเต๋ามีอยู่หลายนิกาย มีนิกายใหญ่อยู่ 2 นิกาย คือ นิกายเช็ง-อิ และนิกาย ชวน-เช่น นิกาย เช็ง-อิ เป็นนิกายฝ่ายใต้ เพราะเจริญอยู่แถบทางใต้ของแม่น้ำแยงซี นิกายนี้มุ่งไปในทางอิทธิฤทธิ์ของอาจารย์สวรรค์ จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า นิกายเทียนจื๊อ เชื่อกันว่า จาง เต๋า หลิง เป็นอาจารย์สวรรค์คนแรก มีดาบศักดิ์สิทธิ์สามารถฆ่าปีศาจ แม้อยู่ไกลถึง 1,000 ไมล์ได้ นิกายนี้เชื่อเรื่องโชคลางอภินิหารและคาถาอาคม จึงมีคาถาอาคมมากมาย เช่น คาถาขอฝน คาถากันฝน คาถากันผี เป็นต้น นอกจากนี้ยังถือการเข้าทรงเป็นสำคัญอีกด้วย นักบวชของนิกายนี้มีความเป็นอยู่แบบชาวบ้านทั่วไป และมีครอบครัวได้
ส่วนนิกายชวน-เชน เป็นนิกายฝ่ายเหนือ เพราะเจริญอยู่แถบทางเหนือแม่น้ำแยงซี เป็นนิกายที่มุ่งดำเนินตามคำสอนเต๋า จึงมีปฏิปทาดำเนินชีวิตให้กลมกลืนกับธรรมชาติ รักสงบ เป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ศาสนิกจำนวนไม่น้อยจะสละบ้านออกไปอยู่วัด รับประทานอาหารมังสวิรัติ ทั้งจะอดอาหารในบางโอกาส ส่วนนักพรตจะแต่งงานไม่ได้ ดื่มน้ำเมาไม่ได้ นิกายนี้มีความโน้มเอียงที่จะรวมทั้ง 3 ศาสนา คือศาสนาเต๋า ศาสนาขงจื้อ และศาสนาพุทธเข้าเป็นอันเดียวกัน
7.9 สัญลักษณ์ของศาสนา
สัญลักษณ์โดยตรงของศาสนาเต๋าก็คือ รูปเล่าจื๊อขี่ควาย อันหมายถึง การเดินทางไปยังที่ต่างๆ ของเล่าจื้อมักจะใช้ควายเป็นพาหนะ แม้กระทั่งการเดินทางครั้งสุดท้ายไปยังพรมแดนของจีนต่อกับทิเบตทางทิศตะวัน ตกเฉียงใต้ ก็ใช้ควายเป็นพาหนะ และก็หายไปทั้งเล่าจื้อและควายคู่ชีพ สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งก็คือรูปหยางและหยิน มีลักษณะเป็นวงกลมแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่ากันด้วยเส้นเว้น แสดงถึงธรรมชาติคู่ของโลก อันหมายถึง พลัง (จิ) อันเป็นพลังแห่งสติปัญญาความสามารถ โดยบุคลาธิษฐานเป็นจอมเทพสถิตอยู่ในอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ ทรงแบ่งธรรมชาติออกเป็นคู่ๆ เช่น มืดกับสว่าง กลางวันกับกลางคืน หญิงกับชาย เป็นต้น
7.10 ฐานะของศาสนาในปัจจุบัน
ศาสนาเต๋าเคยเจริญรุ่งเรืองในประเทศจีน1 แต่ต่อมาได้รับความกระทบกระเทือนมาก เมื่อคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองประเทศจีนเมื่อ พ.ศ. 2492 พรรคคอมมิวนิสต์จีนถือว่าทุกศาสนาเป็นยาเสพติด ศาสนาต่างๆ ถูกมองในแง่ร้าย เช่น ศาสนาขงจื้อ เป็นตัวแทนการปกครองแบบเจ้าขุนมูลนาย ศาสนาเต๋าก็งมงายเชื่อถือในโชคลาง ศาสนาพุทธก็มาจากต่างประเทศยังเป็นเรื่องน่าสงสัยว่าดีจริงหรือไม่ ศาสนาคริสต์ก็เป็นศาสนาต่างด้าว ทั้งเป็นตัวแทนจักรวรรดินิยมตะวันตก ศาสนาอิสลามนอกจากจะเป็นศาสนาต่างด้าวแล้ว ยังไม่เหมาะกับการปกครองในประเทศจีน ทุกศาสนาจึงควรที่จะถูกกวาดล้างออกไป เพื่อจะได้ไม่ขัดขวางต่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นทุกศาสนาถึงถูกเบียดเบียนทุกรูปแบบ โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ. 2509 เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม สถานการณ์ของทุกศาสนายิ่งทรุดหนัก เพราะถูกถือว่าเป็นความคิดเก่าคร่ำครึใช้ไม่ได้ ไม่เหมาะกับสมัยปัจจุบันจึงควรที่จะถูกกำจัดให้หมดไป ดังนั้นวัดโบสถ์วิหารและศาสนสถานของศาสนาต่างๆ จึงถูกทำลาย ศาสนิกถูกจับ ถูกทำร้ายจนศาสนิกของศาสนาต่างๆ ไม่กล้าแสดงตัวว่านับถือศาสนา และนั่นเอง ชาวเต๋าบางส่วนก็ได้หนีไปอยู่ที่ประเทศจีน คณะชาติเกาะไต้หวันอย่างเช่นจังอีร์ปู ผู้หนีไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน ได้รับแต่งตั้งเป็นเทียนจื้อหรืออาจารย์สวรรค์ เป็นสังฆราชของศาสนาเต๋า ท่านผู้นี้ยังได้รับความเคารพและเกรงกลัวว่าเป็นผู้ปกครองภูตผีปีศาจและ สัตว์ประหลาด
ปัจจุบันศาสนาเต๋ายังมีผู้นับถืออยู่ มีนักบวชชายหญิง มีศาลเจ้า มีสมาคมในหมู่ชาวจีน มีโรงเจสำหรับคนบริโภคอาหารมังสวิรัติอยู่ทั่วไป แต่การนับถือศาสนาเต๋าได้เสื่อมลงเพราะ ผิดไปจากหลักการเดิมในคัมภีร์ เต้า เตก เกง คือมากไปในทางทรงเจ้า บูชาเจ้า พระเต๋ามีหน้าที่สวดมนต์ให้พร รดน้ำมนต์ ขายเครื่องรางของขลัง ทำพิธีขับผีและทำเสน่ห์เล่ห์กล เป็นต้น บางแห่งก็นำศีล 5 ทางพุทธศาสนาไปปฏิบัติ และนำพระสูตรทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานไปสวดด้วย กลายเป็นเต๋าผสมพุทธ ชาวเต๋าส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องศาสนาเต๋า ไม่ได้ศึกษาคัมภีร์เต้า เตก เกง ได้แต่ปฏิบัติตามประเพณีที่ทำตามกันมาเท่านั้น
แต่ต่อไปสถานการณ์ของศาสนาบนแผ่นดินใหญ่คงดีขึ้นในอนาคต เพราะหลังจากเมาเซตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์เสียชีวิต ในปี พ.ศ. 2520 รัฐบาลจีนได้หันไปติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น จึงได้ผ่อนคลายการกดขี่ศาสนาลง ให้พลเมืองมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามากขึ้น เช่น อนุญาตให้พระและสามเณรกลับไปอยู่วัดได้ ให้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ และ พ.ศ.2522 มหาวิทยาลัยนานกิงได้เป็นศูนย์กลางศึกษาศาสนาต่างๆ ในประเทศจีน
ปัจจุบันการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ กำลังล่มสลายในหลายประเทศ แม้ในประเทศจีนเองอิทธิพลของการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็ลดลงตามลำดับ ทำให้พลเมืองมีเสรีภาพมากขึ้นในการนับถือศาสนา ผู้ที่นับถือศาสนาเต๋าอยู่แล้วก็กล้าที่จะแสดงตัว ทั้งนี้ เป็นความจริงที่ว่า ความเชื่อของคนไม่อาจล้มล้างด้วยกำลังได้ การเปลี่ยนความเชื่ออย่างหนึ่งจะต้องใช้ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งซึ่งดีกว่ามา ทดแทนเท่านั้น มิใช้ด้วยกำลัง
ศาสนิกศาสนาเต๋า ในปัจจุบันมีประมาณ 183 ล้านคน (Encyclopaedia Britannica 1992 : 269) กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ ที่ชาวจีนอาศัยอยู่มาก เช่น ประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน
free programes
Posted by sereykh at 18:15 0 comments
Labels: ប្រវត្តិសាសនាក្នុងលោក ជាភាសាសៀម
ศาสนาบาไฮ
แนวคิด
1. ศาสนาบาไฮ เกิดที่ประเทศอิหร่าน ประมาณ 2406 ปี หลังพุทธศักราช ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด ศาสดาของศาสนาบาไฮ คือ พระบาฮาอุลลาห์
2. คัมภีร์ที่สำคัญในศาสนา มีดังนี้ คัมภีร์อัคคัส คัมภีร์วจนะที่ซ่อนเร้น คัมภีร์หุบผาทั้ง 7 และทั้ง4 และคัมภีร์อิกัน ในศาสนาบาไฮนั้น มีหลักคำสอนที่สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ 1) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า 2) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนาทั้งปวง 3) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ
3. ศาสนาบาไฮมีพิธีกรรมที่สำคัญดังนี้ 1) การสวดมนต์ทุกวัน 2) การอ่านพระคัมภีร์ ทุกวัน 3) พิธีสมรส 4) การถือศีลอด 5) การตาย ส่วนวันสำคัญทางศาสนามี 1) งานฉลองบุญ19 วัน 2) อัยยัมมีฮา 3) วันศักดิ์สิทธิ์
4. ศาสนาบาไฮมีจุดหมายปลายทางของชีวิต อันเป็นความสุขอันนิรันดรคือ สวรรค์ คือ ได้ขึ้นสวรรค์อยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร วิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายสูงสุด ด้วยการจงรักภักดีต่อพระเจ้าและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ ชาวบาไฮเชื่อว่าชีวิตในโลกนี้มีเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็จะไปอยู่ในนรกหรือสวรรค์ชั่วนิรันดร
5. ศาสนาบาไฮได้ทำรูปสัญลักษณ์ทางศาสนาเป็น 2 แบบ คือ 1) ตัวอักษรคำว่า "ยาบา-ฮาอุลลาห์ภา" ซึ่งเขียนตามแบบภาษาอาหรับ 2) เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความสัมพันธ์ ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
6. ศาสนาบาไฮ แม้จะเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด แต่ก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีศาสนิกของศาสนาบาไฮอยู่ทั่วเกือบทุกมุมโลกโดยมีศาสนิกประมาณ 10 ล้านคน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักศึกษาได้มองเห็นภาพรวมประเด็นที่เป็นสาระสำคัญทางศาสนาของศาสนาบาไฮได้อย่างสมบูรณ์
2. เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาและสามารถถ่ายทอดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ ศาสนา ประวัติศาสดา คัมภีร์สำคัญในศาสนา หลักคำสอนที่สำคัญในศาสนา หลักความเชื่อและจุดหมายสูงสุดในศาสนาของศาสนาบาไฮได้อย่างถูกต้อง
3. เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาและสามารถถ่ายทอดเกี่ยวกับสถานที่ทำพิธีกรรมที่ สำคัญ สถานที่ทำพิธีกรรมวันสำคัญทางศาสนา ระบบบริหารงานของศาสนา สัญลักษณ์ของศาสนาและฐานะของศาสนาในปัจจุบันของศาสนาบาไฮได้อย่างถูกต้อง
14.1 14.11 ฐานะของศาสนาในปัจจุบัน
ศาสนาบาไฮนับตั้งแต่ท่านโชกิ เอฟเฟนดี ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2500 ระบบสืบตำแหน่งแทนก็เป็นอันสิ้นสุด ชาวบาไฮจึงได้จัดตั้งองค์กรมาบริหารศาสนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2506 แบ่งเป็น 3 ระดับ จากต่ำไปหาสูง คือ
1. ธรรมสภาท้องถิ่น
2. ธรรมสภาแห่งชาติ
3. ธรรมสภายุติธรรมสากล
ศาสนาบาไฮ ถึงแม้จะเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด แต่ก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีศาสนิกของศาสนาบาไฮอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก โดยมีศาสนิกประมาณ 10 ล้านคน มี ธรรมสภาแห่งชาติไม่น้อยกว่า 148 แห่ง มีธรรมสภาท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 30,304 แห่ง และมีการแปลคัมภีร์ศาสนาบาไฮออกเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่า 756 ภาษา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีสำนักสาขาอยู่ทุกรัฐ และสำนักงานใหญ่ที่เมืองวิลเมตต์ บนฝั่งทะเลสาบมิชิแกน ใกล้เมืองชิคาโก แม้ในประเทศไทยก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ และยังมีสาขาต่างจังหวัดที่ เชียงใหม่ สงขลา และยโสธร อีกด้วย
ศาสนาบาไฮในทรรศนะทั่วไปถือกันว่า เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาอิสลาม โดยแยกตัวมาจากนิกายชิอะห์ นิกายชิอะห์เชื่อว่าหลังจากอิหม่ามหรือกาหลิบอาลีสิ้นชีวิตแล้ว ก็จะมีอิหม่ามสืบสายต่อมาอีก 12 คน แต่คนที่ 12 ได้หายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 9 แต่มุสลิมนิกายชีิอะห์เชื่อว่าสักวันหนึ่งในอนาคตจะมาปรากฏอีก ต่อมาพระบ๊อบได้ประกาศว่าตัวท่านนี่แหละคืออิหม่ามที่ 12 ทั้งได้ปฏิรูปศาสนาอิสลามเสียใหม่ อันเป็นเหตุถึงแก่ความตาย เพราะถูก ยิงเป้าในปี พ.ศ. 2393 แต่ชาวบาไฮถือว่า ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาใด เพราะศาสนาบาไฮมีศาสดา หลักการ คัมภีร์ศาสนา ปฏิทินศาสนา โบสถ์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เป็นต้น เป็นของตน จนได้ทำเรื่องเสนอให้องค์การสหประชาชาติรับรองว่าเป็นศาสนาอิสระศาสนาหนึ่ง ของโลก เมื่อ พ.ศ. 2490 ซึ่งทางองค์การสหประชาชาติ ก็ได้รับรองสถานะดังที่เสนอมา
แต่ศาสนาบาไฮในประเทศอิหร่านได้รับความกระทบกระเทือนมาก เพราะในปี พ.ศ. 2522 สมัยปฏิวัติศาสนาอิสลาม โดยมีอยาตอลละห์ รุฮอลลาห์ โคไมนี่เป็นหัวหน้าปกครองประเทศอิหร่าน เป็นสมัยที่ศาสนาบาไฮได้รับความเดือดร้อนเป็นที่สุด เพราะถูกถือว่าเป็นศาสนามิจฉาทิฏฐิ ชาวบาไฮถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่ถูกจำคุกก็มีมากมาย ทรัพย์สินและบ้านเรือนถูกยึด สมบัติของศาสนา สุสาน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ อีกทั้งเตรียมจะออกกฎหมายให้ถือว่า การฆ่าชาวบาไฮไม่ผิดอีกด้วย จึงเป็นเคราะห์ร้ายที่สุดของชาวบาไฮในประเทศอิหร่านซึ่งเป็นแผ่นดินที่เกิด ของศาสนาบาไฮเอง
ศาสนาบาไฮ เป็นศาสนาใหม่ล่าสุด กำเนิดในประเทศเปอร์เซีย หรืออิหร่าน เมื่อ พ.ศ. 2406 โดยคิดตามปีที่พระบาฮาอุลลาห์ ศาสดาของศาสนานี้ ประกาศรับรองตัวเองเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ ตามที่พระบ๊อบได้ทำนายไว้ ศาสนาบาไฮวิวัฒนาการมาจากศาสนาบาบี (Babism) ที่พระบ๊อบ เป็นผู้ก่อตั้ง เมื่อ พ.ศ.2387
พระบ๊อบเกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2362 ณ เมืองชีราส ประเทศอิหร่าน มีชื่อเดิมว่า ซียิค อาลี มุฮัมมัด ต่อมาเมื่ออายุ 25 ปี ท่านอ้างว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อประกาศให้ชาวโลกทราบถึงการ มาของพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ และท่านได้เปลี่ยนนามเสียใหม่ให้สอดคล้องกับการประกาศศาสนาของท่านว่า บ๊อบ-อุด-ดิน แปลว่า ประตูแห่งความเชื่อ และเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 พระบ๊อบได้ประกาศที่เมืองชีราสว่า "รุ่งอรุณวันใหม่เริ่มต้นแล้ว" ยุคแห่งพระศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเคยทำนายกันไว้ว่า จะเกิดมาช่วยโลกสถาปนายุคแห่งสันติภาพ และภราดรภาพใกล้เข้ามาถึงแล้ว"
เรื่องการทำนายว่าจะมีพระศาสดามาอุบัติเพื่อโลกนั้น เกิดขึ้นจากผู้ที่อ้างว่าตนเป็นศาสดาพยากรณ์มาหลายคนแล้ว การทำนายดังกล่าวคงจะมาจากอิทธิพลความเชื่อก่อนที่พระเยซูถูกจับตรึงไม้ กางเขน ท่านได้บอกแก่สาวกว่า "ถ้าพวกท่านรักเรา ก็จงปฏิบัติตามบัญญัติของพระเจ้า แล้วเราจะสวดมนต์อ้อนวอนพระบิดา แล้วพระบิดาจะทรงนำผู้ช่วยคนอื่นมาให้ท่าน เขาจะอยู่กับท่านตลอดไป "พระเยซูยังกล่าวต่อไปอีกว่า "เรายังมีอีกหลายอย่างที่จะบอกท่าน แต่พวกท่านคงยังไม่พร้อมที่จะฟัง สัจธรรมกำลังปรากฏ เขาจะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งปวง"
ระยะแรกผู้คนต่างชื่นชมต่อการประกาศศาสนาของพระบ๊อบ และเชื่อว่าพระบ๊อบเป็นอิหม่ามผู้ยิ่งใหญ่จะมาทำให้ศาสนาอิสลามเจริญ รุ่งเรือง แต่พระบ๊อบยิ่งประกาศไป ก็ยิ่งผิดกับศาสนาอิสลามมากขึ้นทุกทีถึงขนาดจะใช้คัมภีร์ใหม่มาแทนคัมภีร์ อัลกุรอาน ผลก็คือพระบ๊อบถูกจับประหารชีวิต ในข้อหาขบถต่อศาสนาอิสลามเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2393 ศพของท่านถูกนำมาฝังไว้บนภูเขาคาร์เมล ในเมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล เมื่อพระบ๊อบสิ้นชีวิตแล้ว พระบาฮาอุลลาห์ก็ได้รับช่วงดำเนินการสืบสานเผยแผ่ศาสนาของพระบ๊อบต่อไป
บาไฮ เป็นชื่อที่ตั้งตามนามพระศาสดาของศาสนานี้ คือ พระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งแปลว่า แสงสว่างของพระเจ้า คำว่า บาไฮ มาจากคำว่า บาฮา แปลว่า แสงสว่าง
ศาสนาบาไฮ เกิดในอิหร่าน ในยุคที่ศาสนิกของศาสนาอิสลาม คริสต์ และโซโรอัสเตอร์เป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะชาวคริสต์และชาวโซโรอัสเตอร์เป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายเป็นส่วนใหญ่ เพราะผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นมุสลิม พระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์ทนเห็นสภาพเลวร้ายนั้นไม่ไหว จึงได้ครุ่นคิดอย่างหนักที่จะหามาตรการมาประนีประนอมให้ศาสนิกของทั้ง 3 ศาสนาหันมาสามัคคีปรองดองกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดศาสนาบาบีและบาไฮขึ้นมา เพื่อสันติสุขคืนมาให้เพื่อนร่วมชาติ นอกจากนี้ยังมีจุดหมายกว้างไกลออกไปจนถึงการขจัดความขัดแย้งกันในระหว่าง ศาสนิกของศาสนาต่างๆ ทั่วโลกอีกด้วย เพื่อโลกจะได้มีความสงบสุขอย่างแท้จริง โดยสอนว่า มนุษยชาติเป็นพี่น้องกัน เกิดมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน จึงควรช่วยเหลือกัน ไม่ใช่มาทำร้ายเบียดเบียนกัน
พระบาฮาอุลลาห์ กล่าวว่า "ขอให้ประชาชาติทั้งปวงในโลกจงร่วมปรองดองกันด้วยมิตรภาพและความชื่นชม ปวงชนจงสามัคคีกับคนทุกศาสนาด้วยมิตรภาพและความยินดี" พระอับดุลบาฮา ศาสดาองค์ที่ 2 ของศาสนาบาไฮก็ได้กล่าวว่า"บาไฮ หมายถึงผู้ที่มีความรักโลก รักเพื่อนมนุษย์ แล้วพยายามรับใช้เพื่อนมนุษย์ ปฏิบัติภารกิจเพื่อสากล สันติสุข และภราดรภาพ" สรุปแล้วศาสนาบาไฮเกิดขึ้นมาเพื่อสมานสามัคคีระหว่างศาสนิกของทุกศาสนาใน โลก ดังนั้นศาสนาบาไฮจึงมีคำสอนที่เป็นไปเพื่อความเป็นเอกภาพระหว่างพระเจ้า ศาสนาและมนุษยชาติ ศาสนาบาไฮในช่วงสมัยพระบาฮาอุลลาห์เจริญเติบโตอย่างช้าๆ เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง คือท่านทำการเผยแผ่ศาสนาในขณะที่ถูกคุมขังในเรือนจำ จึงเผยแผ่ได้เพียงการเขียนหนังสือเท่านั้น อีกทั้งถูกกล่าวหาว่าขบถต่อศาสนาอิสลาม จึงเป็นภาพพจน์ที่มุสลิมทั่วไปไม่พอใจและขัดขวาง ประการหลังนี้เป็นอุปสรรคมาก เพราะแม้เมื่อพระบาฮาอุลลาห์ พ้นจากโทษจำคุกแล้ว ออกมาเผยแพร่ศาสนาได้โดยตรงก็ไม่สู้ได้ผลนัก เหตุการณ์เป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนถึงสมัยอับดุลบาฮา ศาสดาองค์ที่ 2 ศาสนาบาไฮจึงเผยแพร่ขยายออกได้อย่างกว้างไกล
พระอับดุลบาฮา แปลว่า ผู้รับใช้พระเจ้า เป็นบุตรคนโตของพระบาฮาอุลลาห์ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 มีชื่อเดิมว่า อับบาส เอฟเฟนดี ในช่วงสมัยของพระอับดุลบาฮา ศาสนาบาไฮเจริญก้าวหน้ามาก และเมื่อ พ.ศ. 2454-2455 พระอับดุลบาฮา ได้เดินทางไปเผยแพร่ศาสนายังยุโรปและสหรัฐอเมริกา และท่านได้รับสถาปนาเป็นเซอร์ ขุนนางอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2463 เพราะการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์สงครามระหว่างไฮฟาปาเลสไตน์ พระอับดุลบาฮาถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2464 รวมอายุได้ 77 ปี ก่อนสิ้นชีพท่านได้แต่งตั้งให้ โชกิ เอฟเฟนดี รับตำแหน่งแทน ปัจจุบันศพของท่านถูกฝังอยู่บนภูเขาคาร์เมล ในเมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล เคียงข้างกับหลุมฝังศพพระบ๊อบ
โชกิ เอฟเฟนดี เกิดเมื่อ พ.ศ. 2410 เป็นหลานคนโตของพระอับดุลบาฮา ศาสนาบาไฮในสมัยของโชกิ เอฟเฟนดี เจริญรุ่งเรืองและแผ่ขยายไปยังประเทศต่างๆ ยิ่งกว่าสมัยศาสดาองค์ก่อนๆ เพราะชาวโลกได้ทราบถึงศาสนาบาไฮบ้างแล้ว จากการวางรากฐานของศาสดาที่ผ่านมา อีกทั้งโชกิ เอฟเฟนดี ก็ได้รับการศึกษาสูง โดยศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ท่านได้เขียนจดหมายถึง 50,000 ฉบับ มีทั้งภาษาอังกฤษ อารบิก และเปอร์เซีย ส่งไปยังประเทศต่างๆ จนกลายเป็นคัมภีร์คำสอนศาสนาบาไฮ ท่านโชกิ เอฟเฟนดี ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 รวมอายุได้ 90 ปี ศพของท่านถูกฝังอยู่ที่สุสานเกรทนอร์ทเทิร์น ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ท่านโชกิ เอฟเฟนดี สิ้นชีวิตโดยมิได้แต่งตั้งใครรับตำแหน่งแทน จึงเป็นอันว่า ระบบสืบตำแหน่งแทนได้สิ้นสุดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา ชาวบาไฮจึงได้ปรึกษากันเพื่อจัดแต่งตั้งหน่วยงานมาบริหารศาสนา ดังนั้นเมื่อ พ.ศ. 2506 จึงได้จัดตั้งธรรมสภายุติธรรมสากลขึ้น มีกรรมการ 6 คน ซึ่งเลือกตั้งมาจากกรรมการธรรมสภาแห่งชาติทั่วโลก ธรรมสภาแห่งชาติทั่วโลกก็มีกรรมการ 9 คน ที่เลือกตั้งมาจากกรรมการธรรมสภาบาไฮส่วนท้องถิ่นอีกทอดหนึ่ง ส่วนกรรมการธรรมสภาบาไฮส่วนท้องถิ่นก็เลือกมาจากสมาชิกในท้องถิ่นนั่นเอง
เพราะฉะนั้นธรรมสภาของศาสนาบาไฮจึงมี 3 ระดับ โดยมีธรรมสภายุติธรรมสากล เป็นสภาสูงสุด รองลงมาก็เป็นธรรมสภาแห่งชาติ และธรรมสภาบาไฮส่วนท้องถิ่นตามลำดับ ธรรมสภายุติธรรมสากลซึ่งเป็นสภาสูงสุด ตั้งอยู่ที่เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล การที่เลือกเมืองนี้เป็นที่ตั้งธรรมสภายุติธรรมสากล ก็เพราะเป็นเมืองที่ฝังศพของพระบ๊อบและพระอับดุลบาฮา ด้วยเหตุนี้เมืองไฮฟาจึงเป็นเมืองศูนย์กลางของศาสนาบาไฮและเป็นดินแดน ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบาไฮ
ศาสนาบาไฮแม้จะเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด แต่ปัจจุบันได้แผ่ขยายไปอย่างกว้างไกลจนมีศาสนิกอยู่เกือบทั่วโลก และกำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
14.2 ประวัติศาสดา
14.2.1 ประวัติก่อนการก่อตั้งศาสนา
บาไฮเป็นศาสนาที่มีกำเนิดในประเทศอิหร่านเมื่อปี ค.ศ. 1844 เริ่มต้นจากชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ มีร์ซา อาลี โมหัมหมัด (Mirza Ali Muhammand) หรือที่เรียกกันว่า พระบ๊อบ (Bob) เป็นผู้เปิดทางและตระเตรียมประชาชนสำหรับการมาของพระบาฮาอุลลาห์ (Bahaullah) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮ แต่อย่างไรก็ตามชาวไบฮายังคงยอมรับว่าพระบ๊อบเป็นศาสดาองค์หนึ่งเช่นเดียว กับพระบาฮาอุลลาห์ และคัมภีร์บายัน (Bayan) ซึ่งเป็นการเปิดเผยศาสนาของพระบ๊อบก็เป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนา อุปมาเหมือนกับประตูที่มนุษย์สามารถผ่านจากระบบโลกเก่าไปสู่ระบบโลกใหม่ ดังนั้นในการศึกษาศาสนาบาไฮ นักศึกษาจำเป็นต้องศึกษาชีวประวัติและภารกิจของพระบ๊อบก่อนเพื่อนำไปสู่ความ เข้าใจในศาสนาบาไฮได้ดียิ่งขึ้น
คำว่า "บ๊อบ" (Bob) ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า ประตู ภารกิจของพระบ๊อบ คือ การเตรียมคนที่จะยอมรับศาสดาที่จะมาในอนาคต พระบ๊อบเกิดเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1819 ที่ชีราส (Shiraz) ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศอิหร่าน ท่านเป็นผู้สืบเชื้อสายโลหิตของศาสดามุฮัมมัด บิดาของท่านเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียง แต่เสียชีวิตไปเมื่อพระบ๊อบยังเด็ก ท่านจึงอยู่ในความดูแลของลุงฝ่ายมารดาก็ค้าขายเช่นกัน ท่านเป็นคนรูปงาม กิริยาดี มีความฉลาดมีภูมิธรรมสูง และเป็นผู้เคร่งครัดต่อบทบัญญัติต่างๆ ของศาสนาอิสลาม อายุ 22 ปี ได้สมรสและมีบุตรชาย แต่น่าเสียดายที่ทารกนั้นตายตั้งแต่เล็ก เมื่ออายุได้ 25 ปี ท่านประกาศว่า "พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งความเทิดทูนได้เลือกท่านให้เป็นพระทวาร"
ในยุคของพระบ๊อบนี้เป็นช่วงเวลาที่อิหร่านกำลังเสื่อมโทรม สภาพรุ่งโรจน์ในอดีตได้เสื่อมสูญ ศาสนาเต็มไปด้วยคนบ้าคลั่ง ประชาชนละเลยศาสนาแต่ลุ่มหลงในโชคลางความแตกแยกทางศาสนาได้เกิดขึ้น ทำให้ผู้นับถือต่างเกลียดชังกัน พระบ๊อบจึงถือว่าเป็นภาระหน้าที่ของท่านจะต้องสนองโองการของพระเจ้า ท่านได้กล่าวกำหนดเวลาที่จะต้องประกาศภารกิจคือ วันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1844 (และในวันเดียวกันนี้เองเป็นวันเกิดของท่านอับดุลบาฮา) การประกาศภารกิจนี้เองที่ทำให้พระบ๊อบได้สาวกผู้ซื่อสัตย์ซึ่งเคยเป็นครูของ ท่านมาก่อน คือ เชก มะหะหมัด (หรืออีกนามหนึ่งว่า อะบิด) หะยีไซยิด อาลี ผู้เป็นลุง และ มุลลา ฮุสเซน ซึ่งเป็นสาวกคนแรก ชื่อเสียงของศาสดาหนุ่มเริ่มขจรขยายอย่างรวดเร็วตลอดดินแดนอิหร่าน ทำให้ท่านได้สาวก 18 คน ท่านเรียกบุคคลเหล่านี้ว่า พยัญชนะแห่งการมีชีวิต(Letter oLiving) ได้แก่
1. มุลลา ฮุสเซน โบซรูเยอี (บาบูลบ๊อบ)
2. โมหัมหมัด ฮาซัน
3. โมหัมหมัด บอเดอร์
4. มุลลา อาลี ปัสทามี
5. มุลลา โคดา บัคเซกูซานี่
6. มุลลา ฮาซันเน บาเจสทานี
7. ซียิค ฮุสเซนเน ยาชดี
8. มีร์ชา โมหัมหมัด โรเดคาเน ยาซดี
9. ซาอิค เฮนดี
10. มุลลาโมหมัด โคยี
11. มุลลา จาลิล โอรูมี
12. มุลลา อาหมัดเด เอ๊บดวาล มารอเกอี.
13. มุลลา บอเดอร์เร ทาบริซึ
14. มุลลา ยูเซฟเฟ อาเดบีลี
15. มีร์ซา ฮาดีเย คัสวินี
16. มีร์ซา โมหัมหมัด อาลี คัสวินี
17. ทอเฮเรย์ (เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เป็นสาวกโดยไม่เคยได้พบพระบ๊อบ แต่ใช้การเขียนสาส์นติดต่อกัน)
18. โมหัมหมัด อาลี บอร์โฟรูซี
ท่านได้ส่งสานุศิษย์เหล่านี้ซึ่งมีทั้งหญิงและชายออกไปตามภาคต่างๆ ของอิหร่านและตุรกี เพื่อเผยแพร่ข่าวการมาของท่าน และตัวท่านเองได้ไปที่เมกกะเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ.1844 เพื่อนมัสการสถานที่นี้และประกาศภารกิจอย่างเปิดเผย ทำให้กลุ่มมุสลิมบางคนและบรรดานักปราชญ์ชีอะฮฺะบางท่านประณามท่านอย่าง รุนแรง ต่อมาท่านจึงถูกจำคุกและถูกลงโทษหลายครั้ง ในการประกาศศาสนาของพระบ๊อบ ทำให้สาวกหลายคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณ แม้แต่ตัวท่านเองในภายหลังก็ถูกจับและถูกประหารชีวิตด้วยกระสุนปืนในขณะที่ มีอายุเพียง 31 ปี
หลังจากพระบ๊อบถูกประหารชีวิตแล้ว ศพของท่านถูกโยนออกไปริมคูนอกกำแพงเมือง แต่พวกศาสนิกชนของพระบ๊อบหรือพวกบาบีส์ (Babis) ได้ลอบนำศพออกมาตอนเที่ยงคืนและนำไปซ่อนในอิหร่านหลายปี แล้วจึงนำมาที่ปาเลสไตน์ ปัจจุบันศพของพระบ๊อบบรรจุไว้ในสุสานบนไหล่เขาคาร์เมลไม่ไกลจากถ้ำเอลิยา และห่างประมาณสามสิบไมล์ สถานที่ที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงประทับอยู่หลายปีในระยะหลังของชีวิต และเป็นที่ที่ศพของพระบาฮา-อุลลาห์ประดิษฐานอยู่ที่นั่น
14.2.2 ประวัติการก่อตั้งศาสนาและประวัติศาสดา
มีร์ซา ฮุสเซน อาลี (Mirza Husain Ali) ผู้ซึ่งต่อมาได้ใช้สมญานามว่า บาฮาอุลลาห์ แปลว่า พระเกียรติคุณของพระเจ้า เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1817 ณ กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เป็นบุตรชายคนแรกของเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ตระกูลของท่านมั่งคั่งและมีชื่อเสียง แต่ท่านเองไม่เคยเข้าศึกษาในโรงเรียนเลย แม้แต่ศึกษาจากทางบ้านก็ศึกษาเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นในวัยเด็กท่านเคยแสดงความฉลาดรอบรู้ให้ผู้อื่นได้เห็นหลายครั้ง บิดาของท่านสิ้นชีวิตเมื่อท่านอายุ 22 ปี ท่านต้องเลี้ยงดูน้องชายหญิงหลายคน ตลอดจนต้องปกครองกองมรดกอันมหาศาลของตระกูล จนกระทั่งได้พบกับพระบ๊อบและสนับสนุนศาสนาของพระบ๊อบอย่างกล้าหาญจนได้รับ การทรมานเพราะจองจำและถูกจับขังคุกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนอย่างโหดร้าย ทั้งยังถูกยึดทรัพย์สินและเนรเทศไปอยู่ที่ประเทศอิรัก
ตลอดเวลาแห่งการทุกข์ทรมานนั้น ท่านได้รับกำลังใจจากครอบครัว ได้แก่ อาซียี่ท์ คาท์บูม (ใบไม้ที่ประเสริฐสุด) ภรรยาผู้มีความอดทนและอุทิศชีวิตเพื่อสามีเป็นเวลาตลอดเกือบ 40 ปี พระอับดุลบาฮา (กิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด) บุตรชายผู้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางแห่งพระกติกาสืบต่อจากท่านบาฮียีท์ คาท์บูม (ใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด) บุตรสาวผู้มอบชีวิตแก่ศาสนาจนกระทั่งอายุ 86 ปี เธอจึงได้รับการยกฐานะให้เป็นสตรีที่มีฐานะสูงสุดในเพศของเธอในศาสนาบาไฮ เธอยอมเสียสละความคิดที่จะแต่งงานเพื่อที่จะได้รับใช้และบรรเทาความยากลำบาก ของบิดาและครอบครัวของเธอได้อย่างอิสระ เมื่อพระอับดุลบาฮาผู้เป็นพี่ชายมรณภาพแล้ว เธอคือผู้คุมบังเหียนของศาสนาในช่วงระยะสั้นๆ และเป็นผู้รวบรวมบาไฮศาสนิกชนมารวมกันที่โชกิ เอฟเฟนดิ มีร์ซา มูซา น้องชายผู้ซื่อสัตย์ และมีความสามารถที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหลายของพระบาฮาอุลลาห์ มีร์ซา โมหัมหมัด คูลี น้องชายต่างมารดาของพระบาฮาอุลลาห์ที่อายุน้อยที่สุด แต่แก่กว่าพระอับดุลบาฮาเพียง 7 ปี ท่านเป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อศาสนามาตลอดแม้ว่าพี่น้องของท่านหลายคนได้ทรยศต่อ ศาสนา ส่วนมีร์ซา มีท์ดี (กิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด) น้องชายของพระอับดุลบาฮาซึ่งยังเล็กมากจึงถูกทิ้งไว้กับญาติพี่น้อง แต่ภายหลังได้เดินทางไปร่วมกับพระบาฮาอุลลาห์
การเดินทางตลอด 3 เดือนจากเตหะรานไปแบกแดดซึ่งอยู่ในอิรัก สร้างความทุกข์ทรมานแก่คณะผู้ถูกเนรเทศ เพราะต้องเดินทางผ่านที่ราบสูงอันหนาวเย็นในฤดูหนาวโดยไม่มีอุปกรณ์และ สัมภาระในการเดินทาง และเมื่อมาถึงแบกแดดก็ยังได้รับการทรมานเพราะขาดการพักผ่อนและขาดอาหาร แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ทำให้คณะผู้เนรเทศเร่าร้อนแต่อย่างใด โดยเฉพาะพระบาฮาอุลลาห์นั้นไม่ได้ทุกข์ร้อนใจเลย ขณะนี้เองชื่อเสียงของท่านได้ขจรขจายมากขึ้น มีผู้สนใจหลั่งไหลมายังแบกแดดเพื่อฟังคำสอนไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนายิว คริสต์ หรือ โซโรอัสเตอร์ บุคคลเหล่านี้ต่างต้องการที่จะสนทนาธรรมและถกปัญหาต่างๆ ซึ่งท่านสามารถตอบโต้ได้ดีจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ในความรอบรู้ของท่าน ทำให้มีผู้เลื่อมใสมากจนผู้สูญเสียผลประโยชน์หลายคนพยายามคิดกำจัดด้วยการ ใส่ร้ายว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยร้ายแรงต่อศาสนาอิสลาม
ต่อมารัฐบาลตุรกีได้ออกคำสั่งเรียกพระบาฮาอุลลาห์ไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล ก่อนที่ท่านจะออกเดินทางไกลพร้อมกับคณะ ท่านได้ไปตั้งกระโจมพำนักในอุทยานของนาจิบ ปาชา และประกาศข่าวอันน่ายินดีต่อสาวกหลายคนว่า ท่านคือศาสดาที่พระบ๊อบได้เคยกล่าวไว้ว่าจะมาในอนาคตตามพันธะสัญญา อาจกล่าวได้ว่านี้คือ การประกาศความเป็นศาสนาที่แยกออกมาจากศาสนาพระบ๊อบ และอุทยานแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า อุทยานริสวาน (Riswan) แปลว่า สวรรค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของบาไฮศาสนิกชน เพราะเป็นอุทยานที่มีการประกาศข่าวดีของศาสนา และในช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวดีระหว่างวันที่ 21 เมษายน ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1863 ต่อมาได้กลายเป็นช่วงเวลาที่จัดให้มีพิธีแห่งการรำลึกที่เรียกว่า พิธีริสวาน ซึ่งจะฉลองเป็นประจำทุกปี
เมื่อพระบาฮาอุลาห์ได้เดินทางมายังคอนสแตนติโนเปิลแล้ว ท่านได้ถูกขังคุกระยะเวลาหนึ่ง และได้ถูกเนรเทศไปยังที่อื่นๆ อีก จนกระทั่งครั้งหลังสุดถูกจำคุกที่อัคคา (Akka) ในประเทศอิสราเอลอันเป็นสถานที่ขังอาชญากรชั้นเลวที่ถูกส่งมาจากทั่วทุกภาค ของอาณาจักรตุรกี
อย่างไรก็ตามในบั้นปลายชีวิตของศาสดาท่านนี้ ท่านได้พักที่บาห์จี ผู้เลื่อมใสศรัทธาได้ช่วยกันสร้างสวนดอกไม้และให้ชื่อว่า ริสวาน ซึ่งท่านได้ใช้เวลาหลายวันในการพักผ่อน ณ ที่แห่งนี้ ชีวิตในวัยชราของท่านดำเนินไปอย่างง่ายๆ และสงบสุข ท่านสิ้นชีพเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1892 รวมอายุ 75 ปี ศพของท่านฝังที่บาห์จี ตั้งแต่นั้นมาบาไฮได้ซื้อสถานที่นี้และบริเวณรอบๆ ตกแต่งให้งดงามและเป็นสถูปศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับบาไฮ บาไฮผู้แสวงบุญจากทั่วโลกจะเดินทางมาเยือนสถูปนี้
หลังจากสิ้นชีวิต ลูกชายคนแรกที่ชื่อ อับบาส เอฟเฟนดิ (Abbas Effendi) หรือที่รู้จักกันในนามอับดุลบาฮา (Abdul-Baha) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนของบิดามีหน้าที่อธิบายและชี้แจงคำสั่งสอน ซึ่งทุกคนที่นับถือศาสนาบาไฮจะต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ท่านจึงได้รับการยกย่องให้เป็นศูนย์กลางแห่งพระปริญญา
อับดุลบาฮาเกิดที่กรุงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1844 เป็นบุตรชายคนแรกของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นผู้มีความกตัญญู มีจิตใจเมตตา และมีความฉลาดเป็นอย่างมาก สามารถอธิบายธรรมะได้อย่างแตกฉานหลายครั้ง ท่านได้ช่วยพระบาฮาอุลลาห์ในการตอบปัญหายุ่งยากใจของแขกที่มาเยือน และชอบถกเถียงปัญหาศาสนากับพวกนักปราชญ์ในสุเหร่าอิสลามจนเป็นที่ยกย่องของ บุคคลทั้งหลายและเรียกท่านว่า ท่านอาจารย์ ทั้งที่ตัวท่านไม่เคยเข้าศึกษาในโรงเรียนมาก่อน
อับดุล บาฮาแต่งงานกับมนีเรห์ คาโนม มีบุตรหลายคน แต่มีบุตรสาวเพียง 4 คนเท่านั้นที่มีชีวิตทนต่อการจำคุกอันยาวนานและทุกข์ยากได้ ชีวิตของอับดุล บาฮาได้รับความยากลำบากไม่น้อยกว่าบิดาของท่าน เพราะความริษยาของผู้ที่ต้องการทำลายท่าน ทำให้ท่านถูกรัฐบาลตุรกีจับกุมในข้อหาปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลตุรกี
การถูกจับขังคุกนี้ไม่ได้ทำให้ท่านทุกข์ร้อนแต่อย่างใด กลับใช้เวลาในคุกตอบจดหมายถึงผู้เลื่อมใสศรัทธาจากทั่วโลก และใช้เวลาเยี่ยมเยือนผู้เจ็บป่วยตามบ้านของเขาเหล่านั้น อันเป็นย่านที่มีคนจนมากที่สุดในเมืองอัคคา ในที่สุดท่านได้รับอิสรภาพเพราะพวกปฏิวัติรัฐบาลได้รับชัยชนะจึงได้ปลดปล่อย นักโทษศาสนาทั้งหมดให้เป็นอิสระ ท่านได้มีโอกาสไปเผยแพร่ศาสนาในต่างประเทศ เริ่มจากประเทศอังกฤษ ท่านได้พำนักที่ลอนดอนและแสดงปาฐกถา อีกทั้งพบปะสนทนากับผู้ที่สนใจที่มาติดต่อทุกวัน จากนั้นได้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาจากฝั่งแอตแลนติกจดฝั่งแปซิฟิก และเดินทางต่อไปยังยุโรปและอียิปต์ กลับถึงเมืองไฮฟา (Haifa) ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2456
ตลอดช่วงเวลาที่ท่านเป็นผู้นำทางศาสนานั้น ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาบาไฮรุ่งโรจน์เป็นอย่างมาก มีการสร้างวัดบาไฮเป็นแห่งแรกของโลกที่เมืองอิสคาแบด มีการก่อตั้งโรงเรียน วิทยาลัย และธรรมสภา นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งชุมชนบาไฮเกิดขึ้นในที่ต่างๆ เช่น ตุรกี อิหร่าน อียิปต์ อินเดีย พม่า ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และเยอรมนี เป็นต้น รวมทั้งหมดประมาณ 35 ประเทศ ในช่วงบั้นปลายชีวิต ท่านได้ปฏิบัติกรณียกิจประจำวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 ประมาณตีหนึ่งครึ่ง ก็ล่วงลับไปอย่างสงบบนเตียงนอนโดยมีบุตรสาวทั้งสองเฝ้าอยู่ข้างๆ ศพของท่านฝังอยู่ข้างขวาถัดจากศพของพระบ๊อบที่อยู่บนเขาคาร์เมลในอิสราเอล
เมื่อท่านสิ้นไปแล้ว หลานชายของท่านชื่อ โชกิ เอฟเฟนดิ ( Shauqi Effendi) ได้รับการยกย่องให้เป็นศาสนภิบาลของศาสนาบาไฮ และเป็นผู้ตีความหมายธรรมลิขิตของพระบาฮาอุลลาห์ ท่านเป็นคนหนุ่มที่มีการศึกษาดี ในขณะที่ได้ข่าวการมรณภาพของปู่ที่ท่านรัก ท่านอายุเพียง 24 ปี กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ข่าวนี้ทำให้ท่านล้มป่วยด้วยความเศร้าโศกจึงรีบกลับบ้านที่เมืองไฮฟาใน อิสราเอล และพบว่าปู่ของท่านได้มอบความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการเป็นศาสนภิบาลของ ศาสนาบาไฮให้แก่ท่าน
โชกิ เอฟเฟนดิ เป็นหลานที่ปู่รักและมอบความหวังว่าท่านจะช่วยทำงานให้ศาสนาบาไฮได้เป็น อย่างดี เพราะท่านเป็นหน่อพฤกษ์อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากท่านมีเลือดเนื้อเชื้อไขที่มาจากคน 2 ตระกูลที่เป็นหลักของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า มารดาของท่านคือ ซิอาอีเยะห์ คานุบ ธิดาคนโตของอับดุลบาฮา บิดาของโชกิ เอฟเฟนดิ คือมิร์ซา ฮอดิ ญาติผู้หนึ่งของพระบ๊อบ ท่านจึงเป็นกิ่งก้านซึ่งได้เลือกแล้วให้เป็นผู้พิทักษ์ศาสนาของพระผู้เป็น เจ้า และต่อจากโชกิ เอฟเฟนดิแล้ว ภาระนี้จะต้องตกเป็นภาระของบุตรคนแรกที่สืบเชื้อสายโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เมื่อท่านถึงแก่กรรมอย่างกะทันหัน เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957 ที่กรุงลอนดอน ท่านไม่ได้แต่งตั้งผู้ใดให้สืบทอดตำแหน่งนี้ และชีวิตสมรสของท่านไม่ได้สร้างเลือดเนื้อเชื้อไขให้เป็นสายใยของศาสนาต่อไป ทั้งที่แผนงานต่างๆ ที่ท่านวางไว้นั้นกำลังประสบความสำเร็จ จึงเป็นหน้าที่ของคณะบุคคลที่เรียกว่า พระหัตถ์ศาสนา ซึ่งท่านได้แต่งตั้งขึ้นมาไว้ช่วยงานการปกป้องและเผยแพร่ศาสนาและเป็นการ แต่งตั้งตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา
14.3 คัมภีร์ในศาสนา
คัมภีร์ศาสนาบาไฮมีหลายเล่ม เพราะถือธรรมนิพนธ์ของศาสดาบาไฮทุกองค์เป็นตัวคัมภีร์ของศาสนาบาไฮ แต่ที่ให้ความสำคัญมาก ก็คือธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์ ได้แก่
1. คัมภีร์ (กิตาบี) อัคคัส ว่าด้วยธรรมวินัยต่างๆ เช่น บาไฮศาสนิกชนต้องสวดมนต์ ต้องถือศีลอด 19 วัน ต้องร่วมงานฉลองบุญทุกต้นเดือน ต้องรำลึกถึงวันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา ต้องดำเนินชีวิตอย่างสุขสงบและสามัคคี ต้องให้การศึกษาแก่บุตรหลาน และต้องเว้นอบายมุข เป็นต้น ชาวบาไฮถือว่า คัมภีร์อัคคัส เป็นคัมภีร์สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เพราะนอกจากเป็นนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์แล้ว ท่านยังได้ประทับตราประจำตัวของท่านไว้ด้วย
2. คัมภีร์วจนะที่ซ่อนเร้น (The Hiden Words) ว่าที่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และความจริงพื้นฐานของศาสนาต่างๆ
3. คัมภีร์หุบผาทั้ง 7 และทั้ง 4 (The Seven and Four Valleys) ว่าด้วยวิวัฒนาการของมนุษย์ผู้แสวงหาจะต้องพบอะไรบ้าง
4. คัมภีร์อิกัน (Igan) คัมภีร์แห่งความมั่นใจ คัมภีร์นี้ว่าด้วยการอธิบายคำสอนที่ยากและซับซ้อนมากในปรัชญาของคัมภีร์ เก่าๆ และว่าด้วยพระศาสดาที่พระเจ้าทรงส่งลงมายังโลกมนุษย์เป็นคราวๆ อีกด้วย
14.4 หลักคำสอนที่สำคัญ
บาไฮเป็นศาสนาสากลที่มีความเป็นอิสระ และมีศาสนิกชนอยู่เกือบทุกประเทศ ศาสนิกชน บาไฮเชื่อว่าศาสนาของพวกเขาไม่ได้เป็นลัทธิหรือนิกายของศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามหรือศาสนาอื่นๆ และมิได้เกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากพระคัมภีร์ของศาสนาใด แต่ศาสนทูตของพวกเขาได้รับแรงดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าให้ลิขิตธรรมขึ้นมา คำสอนในศาสนาบาไฮจึงเน้นความสามัคคีในระหว่างศาสนา เพราะพวกเขาเชื่อกันว่าพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์จะหวนกลับมาในแต่ละ ยุคในกายของศาสดา ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้ทราบพระประสงค์ของพระองค์ ศาสดาแต่ละองค์จึงอธิบายกฎและคำสอนต่างๆ ที่เข้ากับยุคสมัย และจะมีการทำนายการมาของศาสดาที่จะมาสถาปนาอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในโลก นี้ ในที่สุดเพื่อจะนำมนุษย์ไปสู่ยุคทองแห่งสันติภาพ นั้นหลักคำสอนเบื้องต้นที่สำคัญของบาไฮมี 3 ประการ คือ
14.4.1 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า
ศาสนาบาไฮเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ที่ชื่อเรียกหลากหลายออกไปเพราะขึ้นอยู่กับสภาพท้องถิ่นของแต่ละชาติแต่ ละภาษา แต่แท้จริงแล้วพระเจ้าคือ สัจธรรมที่เที่ยงแท้ เป็นแหล่งวิทยาการทั้งปวง มีอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ครอบจักรวาล และเป็นอยู่ตลอดกาล พระองค์ทรงเป็นนามธรรมที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยภาษาของวัตถุ เราจึงไม่สามารถเห็น หรือเข้าใจพระองค์ได้นอกจากอาศัยศาสดาต่างๆ ซึ่งเป็นผู้แทนของพระองค์ที่พระองค์ได้เลือกแล้ว
14.4.2 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนาทั้งปวง
ศาสนาต่างๆ มาจากที่มาเดียวกันคือ พระเจ้า ดังนั้นคำสอนของศาสดาทั้งหลายจึงมาจากแหล่งความรู้อันศักดิ์สิทธ์ที่เดียว กัน และมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกันคือ สอนให้มนุษย์เป็นคนดีและมีความรักในกันและกัน
14.4.3 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ
แม้ว่ามนุษย์จะมีความแตกต่างในด้านเผ่าพันธุ์ ชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ทั้งหมดนี้มาจากครอบครัวเดียวกัน จึงเปรียบเทียบเหมือนใบไม้เดียวกัน
คำสอนทั้ง 3 ข้อนี้เป็นพื้นฐานความเข้าใจที่จะนำไปสู่คำสอนทั่วๆไป4 ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. การแสวงหาความจริงอย่างอิสระ คือ การแสวงหาความจริงด้วยตนเอง ไม่ใช่ยอมรับตามครอบครัวหรือเพื่อน
2. ขจัดอคติทุกชนิด อคติในที่นี้ได้แก่ อคติทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สีผิว เชื้อชาติ และศาสนา เพราะสิ่งเหล่านี้ทำลายล้างความเป็นปึกแผ่นของมนุษย์
3. การให้ความเสมอภาค บุรุษและสตรีต้องมีความเท่าเทียมกัน เฉกเช่นปีกสองข้างของนกที่จะต้องช่วยกันกระพือเพื่อเหินขึ้นสู่ท้องฟ้า
4. การศึกษาสากล บาไฮเชื่อว่าการศึกษาที่สำคัญ คือ การศึกษาเพื่อให้รักพระผู้เป็นเจ้า และจะต้องมีเจตคติในการรับใช้มนุษยชาติ การศึกษาในเรื่องเหล่านี้เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต และเป็นสิ่งสำคัญกว่าการจดจำข้อมูล เพราะถ้าการศึกษาเป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง มนุษยชาติจะเปลี่ยนแปลง และโลกนี้จะเป็นสวรรค์บนดินโดยไม่ต้องรอต่อเมื่อตายไปแล้ว
5. การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิธีทางศีลธรรม คือ การตกลงปรึกษาหารือกัน เป็นหุ้นส่วนและแบ่งปันผลกำไรอย่างยุติธรรม การจัดเก็บภาษีจึงควรเป็นด้วยความสมัครใจไม่ใช่การบังคับ โดยแต่ละคนให้ส่วนหนึ่งจากรายได้ของตนหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว
6. ศาสนาต้องสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ หากศาสนาอยู่เหนือวิทยาศาสตร์จะทำให้เกิดความบ้าคลั่งและความงมงายทางศาสนา และถ้าวิทยาศาสตร์ไม่ได้นำมาใช้ทางวิทยาศาสตร์จะเป็นสิ่งทำลายล้าง
7. การมีสันติภาพสากลและรัฐบาลแห่งโลก พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานโลกให้แก่มนุษย์แต่มนุษย์เป็นผู้แบ่งแยกโลกออกเป็น เขตแดน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะสถาปนาสหพันธ์รัฐแห่งโลกเพื่อบริหารใน ทุกดินแดนของโลกอย่างยุติธรรมภายใต้รัฐบาลเดียวกัน แต่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่จะต้องปกป้องและอภิรักษ์ไว้ เมื่อนั้นมนุษย์จะเห็นว่าโลกของเราเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน มีความสมานความสามัคคีกัน
8. ขจัดความมั่นคงและความยากจนที่มากเกินไป การมีรัฐบาลแห่งโลกจะช่วยในการบริหารทรัพยากรอย่างเท่าเทียมกัน และช่วยขจัดความเกินล้นทางเศรษฐกิจ คือ ความมั่นคงและความขัดสน แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคนทำงานหนักจะมิได้รับรางวัลสำหรับงานของตน เพราะคนทุกคนจะต้องทำงานให้สุดความสามารถของตนอยู่เสมอ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้พรสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้และเป็นผู้ ได้รับการสรรเสริญจากพระองค์
9. การมีภาษาสากล เมื่อทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวกันควรมีภาษาใดภาษาหนึ่งใช้เป็นภาษาสากลเพื่อว่า ทุกๆ คนจะได้เข้าใจกันและกัน และหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่เกิดจากการสื่อสารไม่ได้เต็มที่
10. การมีความจงรักภักดีต่อรัฐบาล การสร้างรัฐบาลแห่งโลกนั้นเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหาใช่ความประสงค์ และแรงจูงใจทางการเมืองของบาไฮ เพราะบาไฮมีข้อห้ามที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือการต่อต้านศาสนานั้น อีกทั้งชาวบาไฮไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือองค์การลับใดๆ แต่ชาวบาไฮจะต้องรักชาติ ส่งเสริมประโยชน์ให้แก่ประเทศของตนโดยไม่เห็นแก่ตัวและมีความเชื่อฟังใน รัฐบาล โดยมียกเว้นเพียงข้อเดียวเท่านั้น คือ ถ้ารัฐบาลนั้นออกคำสั่งให้บาไฮเลิกนับถือศาสนาของตน ชาวบาไฮไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งแม้จะถูกลงโทษหรือถูกฆ่าก็ตาม
11. การงดเว้นจากแอลกอฮอล์และยาเสพติด ศาสนาบาไฮห้ามศาสนิกชนทุกคนดื่มเแอลกอฮอล์และเสพยาเสพติด เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีผลต่อการทำลายจิตใจและความเป็นมนุษย์
12. ห้ามการนินทา การนินทาลับหลังเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก ฉะนั้นจึงเป็นข้อห้ามสำหรับบาไฮ
นอกจากนี้ยังมีคำสอนอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตหลังความตาย นรกและสวรรค์ บาไฮเชื่อในความมีอยู่ของจิตวิญญาณมนุษย์ว่า มีความคงทนถาวรตราบเท่าที่อำนาจของพระเจ้ายังมีอยู่ และเป็นสิ่งที่ลึกลับยากแก่การที่จะเข้าใจเป็นสิ่งแรกในสภาพสิ่งทั้งปวงที่ ประกาศความสมบูรณ์เลิศของพระผู้สร้าง หากวิญญาณซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณนั้นจะสะท้อนความสว่างของพระองค์และกลับไปหาพระองค์ในที่สุด แต่ถ้าวิญญาณไม่จงรักภักดีต่อพระผู้สร้างของตนเองแล้ว วิญญาณนั้นจะกลายเป็นเหยื่อของอัตตาและกิเลส และจะต้องหมักจมอยู่ในนั้น วิญญาณจะปฏิบัติในโลกกายภาพนี้ด้วยความช่วยเหลือของร่างกาย เมื่อวิญญาณจากร่างกายไปแล้ววิญญาณจะปฏิบัติการได้โดยไม่ต้องใช้สื่อกลาง สามารถเดินทางผ่านไปในอีกหลายภพ ซึ่งเป็นภพแห่งวิญญาณ ดังนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกนี้วิญญาณจำเป็นต้องพัฒนาบรรลุคุณธรรมต่างๆ เช่น ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้อเฟื้อ ฯลฯ หากไม่ได้บรรลุคุณธรรมเหล่านี้ วิญญาณจะต้องพิการในภายหลังที่ร่างกายตายไปและเข้าไปหาพระผู้เป็นเจ้าได้ อย่างเชื่องช้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความปรานีของพระองค์
สำหรับความคิดในเรื่องสวรรค์และนรก1 ชาวบาไฮเชื่อว่าเป็นสภาวะมากกว่าเป็นสถานที่และเราสามารถอยู่ในสวรรค์หรือ นรกได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สวรรค์คือภาวะอันประเสริฐที่ได้ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้าและบรรลุโดยการ เชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์ นรกคือการอยู่ห่างไกลจากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งผลที่ตามมาคือความทุกข์และสิ้น หวัง
14.4.4 พระเจ้าสูงสุดของศาสนาบาไฮ
ศาสนาบาไฮเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้ามีเพียงองค์เดียวแต่รู้จักกันตามชื่อที่ เรียกต่างๆ กัน แต่ทั้งหมดนี้หมายถึงพระผู้ทรงมีอำนาจสูงสุดนั้น พระผู้ทรงมหิทธานุภาพ พระผู้สร้างสรรพสิ่ง และพระผู้ดำรงอยู่นิรันดร์ ไม่มีใครที่เคยเห็นพระองค์แม้นว่ามีความนึกคิดเกี่ยวกับพระองค์โดยอาศัยการ สังเกตความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงอยู่เหนือประสบการณ์ของมนุษย์ และอยู่เหนือทรรศนะของมนุษย์ แต่เพื่อให้ง่ายแก่การเข้าใจจึงอ้างถึงพระองค์ด้วยพระนามต่างๆ
จากธรรมนิพนธ์บาไฮ ได้บอกไว้ว่า "มนุษย์ไม่สามารถหยั่งรู้สาระของพระผู้เป็นเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงเร้นลับอยู่ในสาระอนันต์ของพระองค์และสภาวะของพระองค์จะคง ซ่อนเร้นจากสายตาของมนุษย์ชั่วนิรันดร์"
แม้ว่าพระองค์จะมีอยู่อย่างยากที่มนุษย์จะเข้าใจ แต่พระองค์ก็ทรงส่งครูมาบอกเราว่า พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร ครูเหล่านี้ถูกเรียกหลายอย่าง เช่น พระอวตาร ศาสดา และพระผู้แสดงธรรมของพระผู้เป็นเจ้านั้น ครูเหล่านี้เป็นมนุษย์พิเศษที่ถูกเลือกโดยพระผู้เป็นเจ้า เพื่อชี้แนวทางในการดำเนินชีวิต และนำทางมนุษยชาติตามแผนงานของพระองค์ ครูเหล่านี้มีธรรมชาติ 2 ลักษณะในตัว คือเป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่มีวิญญาณที่อิสระเหนือขีดจำกัดของร่างกาย อำนาจของพระเป็นเจ้าปฏิบัติการผ่านทางครูหรือศาสดาเหล่านี้ ดังนั้นท่านเหล่านี้จึงมีชัยเหนือหัวใจของมนุษย์ในที่สุด
ครูหรือศาสดาแต่ละท่านจะสะท้อนคุณลักษณะ และคุณสมบัติของพระผู้เป็นเจ้า เช่น ความรัก ความเมตตาปรานี ความเอื้อเฟื้อ ความอดทน และความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นต้น ดังนั้นทางเดียวที่เราจะรู้จักพระเป็นเจ้าได้ คือการมองไปยังครูหรือศาสดาทั้งหลายเหล่านี้และปฏิบัติตามท่าน เมื่อผู้ใดสวดอธิษฐาน ทำสมาธิ เพื่อจะบรรลุคุณธรรมและคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า เราอาจกล่าวได้ว่า ผู้นั้นกำลังพัฒนาตนเพื่อที่เป็นรูปจำลองของพระผู้เป็นเจ้า
14.5 หลักความเชื่อและจุดหมายสูงสุด
ศาสนาบาไฮ สอนว่า ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาที่แท้จริงของมนุษยชาติ มีเพียงศาสนาเดียว เป็นศาสนาสากล ส่วนศาสนาอื่นๆ ล้วนแต่มาจากศาสนาบาไฮทั้งสิ้น กล่าวคือ ศาสนาบาไฮเชื่อว่า ศาสนาต่างๆ มาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่คนอาจเรียกพระองค์ด้วยพระนามต่างๆ กันไป ส่วนศาสดาของศาสนาต่างๆ ก็คือตัวแทนของพระองค์ที่ทรงส่งลงมา เพื่อเปิดเผยสัจธรรมของพระองค์แก่มนุษยชาติ ส่วนที่ต้องมีศาสดามากมายในยุคสมัยต่างๆ ก็เพราะสัจธรรมมีมาก หากพระเจ้าจะทรงให้ใครมาเปิดเผยความจริงทั้งหมดทีเดียว ก็เกินวิสัยที่มนุษย์จะรับได้จึงต้องใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นพระเจ้าจึงส่งศาสดามาตามยุคสมัยต่างๆ เพื่อนำสัจธรรมที่เหมาะสมกับยุคสมัยนั้นมาให้มนุษย์ปฏิบัติ ดุจเดียวกับการเจริญเติบโตของคนเป็นวัยต่างๆ จากเด็กทารก เด็ก หนุ่มสาว กลางคน และแก่เฒ่า ซึ่งแต่ละวัยก็มีวุฒิภาวะต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีครูมาสอนตามสถานศึกษาในระดับต่างๆ โรงเรียนอนุบาล ประถม มัธยม วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย
ดังนั้นศาสดาแต่ละองค์อาจมีคำสอนแตกต่างบ้าง มีวิธีการสอนแตกต่างกันบ้าง และเรียกศาสนาแตกต่างกัน ก็เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยนั้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ศาสดาแต่ละองค์จึงไม่ปฏิเสธคำสอนของศาสดาองค์ก่อนๆ อีกทั้งได้เพิ่มเติมคำสอนใหม่ๆ เข้าไปด้วย
ศาสนาบาไฮเชื่อว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน เพราะมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน และด้วยความเชื่อดังที่กล่าวมา จึงไม่ควรมีปัญหาทะเลาะวิวาทกันในเรื่องพระเจ้า ศาสนาและชั้นวรรณะ เพราะทุกอย่างมาจากแหล่งเดียวกัน พระบาฮาอุลลาห์กล่าวว่า "ศาสนาที่แท้จริงทั้งหลายมาจากพระเจ้าองค์เดียวกัน พระองค์ตรัสสัจธรรมผ่านศาสดาในยุคต่างๆ สัจธรรมได้วิวัฒนาการต่อเนื่องกัน และเป็นอมตธรรม"
ศาสนาบาไฮเชื่อว่า เมื่อคนตายแล้ว วิญญาณได้ตายตามร่างกายไม่ วิญญาณเป็นอมตะและจะรอการพิพากษาในวันสิ้นโลก จากนั้นก็จะขึ้นสวรรค์หรือนรกตามกรรมที่ทำไว้ต่อไป ผู้ที่ขึ้นสวรรค์ก็จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าชั่วนิรันดร ไม่ต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก ดุจนกหลุดออกจากกรงขังสู่โลกกว้างแล้วก็จะไม่ปรารถนากลับสู่กรงขังอีกก็ฉัน นั้น เพราะฉะนั้นการตายของร่างกายจึงเป็นการเกิดของวิญญาณในอาณาจักรพระเจ้า
เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ บาไฮศาสนิกชนเชื่อว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากก้อนดิน ทั้งกำหนดชะตาลิขิตไว้ด้วย แต่พระองค์ก็ทรงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาด้วย เช่น พระเจ้าทรงสร้างหัวนมพร้อมทั้งน้ำนมให้หลั่งออกมาจากถันทั้ง 2 ของมารดา ทรงสร้างมารดาให้มีตาเพื่อคอยดูแลลูก ทรงสร้างหัวใจให้แก่มารดา เพื่อจะได้รักและเมตตาต่อลูกของนาง นอกจากนี้พระเจ้ายังได้ทรงสร้างสิ่งแวดล้อมต่างๆ สำหรับสอนมนุษย์ให้สำนึกถึงความดีของพระเจ้า จะได้ทำความดีแล้วจะได้กลับไปหาพระองค์อีก
14.6 สถานที่ทำพิธีกรรม
ศาสนาบาไฮไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยอาคารพิเศษสำหรับบูชา เพราะพระผู้เป็นเจ้านั้นทรงสถิตในทุกๆ ที่ที่มีการกล่าวถึงพระองค์และสรรเสริญพระองค์ บาไฮจึงไม่มีนักบวชที่จะทำพิธีกรรมแต่ทุกคนสามารถทำหน้าที่บูชาพระผู้เป็น เจ้าได้
ตามปกติแล้วศาสนิกชนบาไฮจะพบปะสังสรรค์กันในบ้านหรือที่ศูนย์บาไฮ นอกจากนี้ยังมีโบสถ์หรือที่เรียกว่า มาชริกุล อัสคาร์ ซี่งมีความหมายว่า สถานะแห่งอรุณของการสรรเสริญพระเจ้า มีลักษณะจะต้องมีด้าน 9 ด้าน มีประตู 9 ประตู มีน้ำพุ 9 สระ มีทางเดินเข้า 9 ทาง มีประตูใหญ่ 9 ด้าน มีเสาในโบสถ์ 9 ต้น มีสวนดอกไม้ 9 สวนรอบนอกตัวโบสถ์ ในตัวโบสถ์มีพื้นชั้นล่าง และมีระเบียงชั้นบน หลังคาสร้างเป็นรูปโดม และการที่บาไฮนิยมนำเลข 9 เข้ามาสัมพันธ์กับศาสนาอาจเป็นเพราะพยัญชนะในภาษาอาหรับมีค่าเป็นตัวเลข และค่าตัวเลขของคำว่า บาฮา เท่ากับ �9Ž เลข 9 จึงมีความสำคัญสำหรับศาสนาบาไฮ
นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งถือเป็นรากฐานขั้นต้นของมาชริกุล อัสคาร์ คือมีโรงเรียนสำหรับเด็กกำพร้า มีโรงพยาบาลและสถานให้ยาแก่คนยากจน มีสถานที่อาศัยสำหรับคนพิการและคนที่ไม่สามารถทำงานได้ มีสถาบันวิทยาศาสตร์ขั้นสูง และมีบ้านพักสำหรับผู้เดินทาง มาชริกุล อัสคาร์ตามแบบนี้จะต้องสร้างขึ้นทุกๆ เมือง ภายในโบสถ์จะต้องเปิดให้ประชาชนเข้าไปสวดมนต์ทุกๆ เช้าโดยไม่มีเครื่องดนตรีในโบสถ์ ตามอาคารใกล้ตัวโบสถ์ใช้เป็นที่ประกอบงานพิธีและประชุมกิจการทั้งหลายแต่ไม่ มีการเล่นดนตรีและร้องเพลงในโบสถ์
โบสถ์แรกของศาสนาบาไฮสร้างขึ้นที่เมืองเอชกาบาด ในประเทศรัสซีย และโบสถ์ที่สองสร้างบนฝั่งทะเลสาบมิชิแกน เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นมีการสร้างโบสถ์ในอีกหลายประเทศ เช่น ที่กรุงปานามา ออสเตรเลีย อูกานดา เยอรมนี และนิวเดลฮี เป็นต้น
14.7 พิธีกรรมที่สำคัญ
ศาสนิกชนของบาไฮมีพิธีกรรมที่ต้องการกระทำ คือ
1 การสวดมนต์ทุกวัน ผู้นับถือศาสนาบาไฮถือว่าการสวดมนต์เป็นการติดต่อกับพระเจ้า อีกทั้งเป็นการพัฒนาจิตใจ การสวดมนต์จึงเป็นรากฐานของศาสนาบาไฮ เพราะฉะนั้นศาสนิกชนบาไฮจะต้องสวดมนต์ทุกวันในเวลาเช้า เที่ยงวัน และเวลาค่ำ
2 การอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ผู้นับถือศาสนาบาไฮจะต้องอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน ในเวลาตื่นเช้าและเข้านอน การอ่านพระคัมภีร์ทุกวัน จะช่วยทำให้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นตามลำดับ จิตใจจะแน่นอยู่กับพระเจ้าอยู่เสมอ เมื่อใจแนบแน่นอยู่กับพระเจ้า ก็เท่ากับกำจัดกิเลสโดยอัตโนมัติ
3 พิธีสมรส2เป็นพิธีที่ทั้งสองฝ่ายมี ความเต็มใจที่จะร่วมชีวิตกัน โดยต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาของทั้งสองฝ่าย จึงจะแต่งงานกันได้แต่ต้องติดต่อกับธรรมสภา และในพิธีทั้งสองฝ่ายต้องกล่าวปฏิญาณต่อกันว่า �เราทุกคนจะยึดถือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความสัตย์จริงŽ หลังจากนั้นอาจจะมีการอ่านธรรมนิพนธ์และบทสวดอธิษฐาน นอกเหนือจากนี้เป็นความปรารถนาของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่จะจัดเสริมออกไป อย่างไรก็ได้
4 การถือศีลอด ผู้นับถือศาสนาบาไฮจะถือศีลอดประจำปีตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม ถึงวันที่ 20 มีนาคม เป็นเวลาทั้งหมด 19 วัน ในระยะเวลาช่วงนี้ศาสนิกชนบาไฮจะต้องตื่นก่อนตะวันขึ้นเพื่อรับประทานอาหาร สวดมนต์อธิษฐาน เพราะหลังจากตะวันขึ้นแล้วห้ามมีอะไรผ่านเข้าปากแม้แต่น้ำจนกระทั่งตะวันตก ดินจึงจะสวดอธิษฐานและรับประทานอาหารในตอนค่ำ บุคคลที่ถือศีลอดมีอายุระหว่าง 15-70 ปี ยกเว้นผู้ป่วย หญิงมีครรภ์ แม่ที่ให้นมลูก ผู้ใช้แรงงานมาก และผู้ที่เดินทางไกล
การถือศีลอดนี้ ผู้นับถือบาไฮเชื่อกันว่าเป็นการละความเห็นแก่ตัวและกิเลส อีกทั้งเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูจิตใจอย่างแท้จริง
5 การตาย การทำศพของบาไฮใช้วิธีฝังไม่มีการเผาเพราะร่างกายเป็นบัลลังก์แห่งวิหาร ภายในของวิญญาณ และต้องการเคารพในร่างกายที่ก่อขึ้นมาทีละน้อยในครรภ์มารดา จึงต้องปล่อยให้สลายเน่าไปทีละน้อย
นอกจากพิธีกรรมตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีหลักปฏิบัติอย่างหนึ่งของศาสนิกชนบาไฮที่ ไม่จัดเป็นพิธีกรรมหรือวันสำคัญ นั่นคือ การแสวงบุญที่ผู้นับถือบาไฮทุกคนควรหาโอกาสในชีวิตไปชมสักการสถานเหล่านี้ ถึงแม้ว่าสักการสถานของบาไฮมีหลายแห่ง แต่ที่อยู่ในประเทศอิหร่านและอิรักนั้นไม่สามารถไปเยี่ยมชมได้เพราะ สถานการณ์ในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย
ดังนั้น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของบาไฮส่วนมากจึงอยู่ในอิสราเอล คือที่ไฮฟาและอัคคา ปัจจุบันนี้เป็นศูนย์กลางแห่งโลกของศาสนาบาไฮ สภายุติธรรมสากลได้เชิญผู้แสวงบุญทั้งหลายให้ไปเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้ครั้งละ 9 วัน เพื่อสวดอธิษฐาน ณ สถูปต่างๆ เช่น สถูปของพระบ๊อบ อาคารเก็บหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อาคารที่ทำการของสภายุติธรรมสากลบนภูเขาคาเมลในไฮฟา เมืองอัคคา และสุสานของพระบาฮาอุลลาห์ที่บาห์จี
14.8 วันสำคัญทางศาสนา
ก่อนที่กล่าวถึงวันสำคัญทางศาสนาของบาไฮ จำเป็นที่เราจะต้องศึกษาปฏิทินของบาไฮเพราะการนับปีนั้นแตกต่างจากปฏิทิน ทั่วๆ ไป โดยนับตามปีสุริยคติ แบ่งเป็น 19 เดือน เดือนละ 19 วัน และเรียกชื่อเดือนเหล่านี้เป็นภาษาอาหรับซึ่งแสดงถึงคุณลักษณะของพระผู้เป็น เจ้า ดังนั้นช่วงการนับวันของบาไฮจึงไม่ตรงกับปฏิทินสากลที่ใช้กันทั่วไป
14.8.1 งานฉลองบุญ 19 วัน วันแรกของทุก เดือนบาไฮ ธรรมสภาท้องถิ่นของแต่ละชุมชนจะจัดงานฉลองบุญ 19 วัน ระหว่างตะวันตกดินของวันสุดท้ายของเดือนก่อน และตะวันตกดินของวันแรกของเดือนใหม่ เพราะวันของบาไฮเริ่มต้นและสิ้นสุดตอนตะวันตกดิน
งานฉลองบุญ 19 วันนี้เป็นการฉลองทางจิตใจซึ่งมีเดือนละ 1 ครั้ง แม้ว่ามีเพียงน้ำเปล่าก็ตาม แต่ผลจากการปฏิบัติในงานนี้จะเป็นการบำรุงมิตรภาพและความรัก อีกทั้งยังเป็นการระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า งานฉลองบุญนี้ประกอบด้วย 3 ภาค คือ
1. ภาคธรรมะ จะมีการสวดมนต์และอ่านธรรมนิพนธ์
2. ภาคบริหาร จะมีการอ่านจดหมายจากธรรมสภาแห่งชาติ สมาชิกในชุมชนปรึกษาหารือกันเสนอความคิดเห็นให้ธรรมสภาพิจารณา
3. ภาคสังสรรค์ จะมีการบริการอาหาร เครื่องดื่ม ซึ่งถ้าไม่มีอะไรเลย แม้มีเพียง น้ำเปล่าก็ไม่เป็นไร การจัดนั้นขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพ งานฉลองบุญทั้ง 19 วัน มีตามลำดับดังนี้
14.8.2 อัยยัมมีฮา ตามปกติแล้วในปีหนึ่งมี 365 วัน บาไฮจะแบ่งเดือนออกเป็น 19 เดือนๆ ละ 19 วัน รวมเป็น 361 วัน ฉะนั้นจะมีวันเหลืออยู่อีก 4-5 วันในปีอธิกสุรทิน วันที่เหลือนี้อยู่ระหว่าง 2 เดือนสุดท้ายของปี คือ ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม เรียกวันที่เหลือเหล่านี้ตามภาษาอาหรับว่า อัยยัมมีฮา เป็นวันที่มีการให้ของขวัญแสดงน้ำใจอนุเคราะห์ต่อผู้ป่วยและคนยากจน นอกจากนี้อาจมีการถือบวช 19 วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม � 20 มีนาคม ของทุกปี
14.8.3 วันศักดิ์สิทธิ์ ในปีของบาไฮจะมีวันศักดิ์สิทธิ์ 9 วัน ซึ่งในวันเหล่านี้ถ้าเป็น ไปได้จะมีการหยุดงานและหยุดโรงเรียน ได้แก่
1 วันเนอร์รูซ คือ วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันปีใหม่บาไฮ
2 วันเทศกาลริสวาน อยู่ระหว่างวันที่ 21 เมษายน - 2 พฤษภาคม วันนี้เป็นวันครบรอบการประกาศศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ในอุทยานริสวานในแบกแดด ปีค.ศ.1863 เทศกาลริสวานประกอบด้วยวันศักดิ์สิทธิ์ 3 วัน คือ วันที่ 21 เมษายน ซึ่งเป็นวันแรกของ เทศกาลริสวานที่รำลึกพระบาฮาอุลลาห์ ทรงประกาศฐานะอย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก วันที่ 29 เมษายน เป็นวันที่ 9 ของริสวาน และวันที่ 2 พฤษภาคม เป็นวันที่รำลึกถึงการออกจาก อุทยานริสวานของพระบาฮาอุลลาห์
3 วันประกาศศาสนาของพระบ๊อบ ตรงกับวันที่ 23 พฤษภาคม
4 วันสิ้นชีพของพระบาฮาอุลลาห์ ตรงกับวันที่ 29 พฤษภาคม
5 วันประหารชีวิตของพระบ๊อบ ตรงกับวันที่ 9 กรกฎาคม
6 วันเกิดของพระบ๊อบ ตรงกับวันที่ 20 ตุลาคม
7 วันเกิดของพระบาฮาอุลลาห์ ตรงกับวันที่ 12 พฤศจิกายน
8 วันแห่งพระปฏิญญาตรงกับวันที่ 26 พฤศจิกายน วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์แต่สามารถทำงานได้ ไม่ต้องหยุดเหมือน 7 วันศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวมาแล้ว
9 วันสิ้นชีพของพระอับดุลบาฮา ตรงกับวันที่ 28 พฤศจิกายน วันนี้ไม่ต้องหยุดงานเช่นกัน
วันศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 วันนี้ จะมีการสวดมนต์ สังสรรค์ หรือปิกนิก หรือชุมนุมกันด้วยความสำรวมและเคารพ เราอาจดูรายละเอียดได้จากตารางเวลาดังนี้
14.9 ระบบบริหารงานของศาสนาบาไฮ
ศาสนาบาไฮไม่มีพระหรือนักบวช และไม่มีแม้แต่ผู้นำศาสนา หลังจากที่โชกิ เอฟเฟนดิ ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1957 ศาสนาบาไฮก็ว่างจากผู้นำทางศาสนา แต่ยังคงมีการปฏิบัติงานในศาสนาโดยอาศัยเครือข่ายของสถาบันที่เลือกตั้งขึ้น มา เรียกว่าระบบบริหารของพระบาฮา-อุลลาห์ ซึ่งท่านได้บัญญัติให้เมืองทุกเมืองในหมู่บ้านจะต้องมีการเลือกตั้งบาไฮ จำนวน 9 คน ขึ้นเป็นสภายุติธรรมท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่าธรรมสภาท้องถิ่น ในการประชุมนี้บาไฮจะเลือกผู้ใหญ่ที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไปในท้องถิ่นจำนวน 9 คน เพื่อรับใช้ธรรมสภาท้องถิ่นเป็นเวลา 1 ปี โดยจะต้องทำหน้าที่รับผิดชอบในกิจการต่างๆ ของการเผยแพร่ศาสนา งานศพ และงานที่ส่งเสริมความสามัคคีในหมู่บาไฮ เป็นต้น
การเลือกตั้งสภาท้องถิ่นนี้จะใช้การลงคะแนนลับของบาไฮผู้ใหญ่ ก่อนการเลือกตั้งจะไม่มีการเสนอชื่อ ไม่มีการหาเสียง แต่คุณสมบัติของผู้ถูกเลือกเป็นไปตามเกณฑ์ของโชกิ เอฟเฟนดิ ซึ่งได้วางแนวทางไว้ก่อนที่จะถึงแก่กรรมว่า ต้องเป็นผู้มีความจงรักภักดี อุทิศตนอย่างไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจที่ฝึกฝนมาดี มีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป
นอกจากธรรมสภาท้องถิ่นแล้ว ยังมีธรรมสภาแห่งชาติที่ทำหน้าที่บริหารกิจการระดับชาติ โดยประสานกับบาไฮทั้งประเทศ การติดต่อนี้จะผ่านทางข่าวสารบาไฮประจำเดือน ซึ่งนำมาอ่านในที่ชุมชนที่เรียกว่างานฉลองบุญ 19 วัน
การเลือกธรรมสภาแห่งชาตินี้จะกระทำทุกปี โดยบาไฮในแต่ละท้องถิ่นเลือกผู้แทนแล้ว ผู้แทนเหล่านี้จะเข้าร่วมการประชุมแห่งชาติประจำปี ซึ่งนิยมจัดในวันสุดสัปดาห์ในช่วงเทศกาลริสวัน (21 เมษายน-2 พฤษภาคม) ในการประชุมแห่งชาตินี้ ผู้แทนจะเลือกบาไฮ 9 คน เพื่อทำหน้าที่ธรรมสภาแห่งชาติในปีต่อไป
สถาบันสูงสุดในระบบบริหารของพระบาฮาอุลลาห์ คือ สภายุติธรรมสากล ทำหน้าที่ชี้แนะและอำนวยกิจการของศาสนาระดับโลก พวกนี้จะทำงานที่เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล ปัจจุบันสภายุติธรรมสากลนี้มีสมาชิก 9 ท่าน และได้มีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1963 นับจากนั้นมาจะมีการเลือกตั้งทุก 5 ปี โดยสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติทุกคนจะมาร่วมการเลือกตั้งนี้ในนามบาไฮของแต่ละ ประเทศ การประชุมครั้งนี้จะกระทำที่ศูนย์กลางแห่งโลก เมืองไฮฟา ประเทศอิสราเอล
14.10 สัญลักษณ์ของศาสนา
ในศาสนาบาไฮได้ทำรูปสัญลักษณ์เป็น 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 คือคำว่า ยาบาฮาอุลลาห์ภา เขียนตามแบบภาษาอาหรับ มีความหมายว่า ข้าแต่พระผู้ทรงความรุ่งโรจน์ เหนือความรุ่งโรจน์
แบบที่ 2 เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความ สัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เส้นบนหมายถึง ภพของพระเจ้า เส้นกลางหมายถึงพระศาสดา และเส้นล่างหมายถึงภพของมนุษย์ ส่วนเส้นแนวดิ่งหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สืบจากพระเจ้าผ่านมาทางศาสนา เพื่อนำพระประสงค์ของพระองค์มาให้มนุษย์ทราบ ส่วนดาวสองดวงบ่งบอกว่า ในยุคนี้มีพระศาสดาคือพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์
14.11 ฐานะของศาสนาในปัจจุบัน
ศาสนาบาไฮนับตั้งแต่ท่านโชกิ เอฟเฟนดี ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2500 ระบบสืบตำแหน่งแทนก็เป็นอันสิ้นสุด ชาวบาไฮจึงได้จัดตั้งองค์กรมาบริหารศาสนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2506 แบ่งเป็น 3 ระดับ จากต่ำไปหาสูง คือ
1. ธรรมสภาท้องถิ่น
2. ธรรมสภาแห่งชาติ
3. ธรรมสภายุติธรรมสากล
ศาสนาบาไฮ ถึงแม้จะเป็นศาสนาใหม่ล่าสุด แต่ก็กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีศาสนิกของศาสนาบาไฮอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก โดยมีศาสนิกประมาณ 10 ล้านคน มี ธรรมสภาแห่งชาติไม่น้อยกว่า 148 แห่ง มีธรรมสภาท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 30,304 แห่ง และมีการแปลคัมภีร์ศาสนาบาไฮออกเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่า 756 ภาษา โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มีสำนักสาขาอยู่ทุกรัฐ และสำนักงานใหญ่ที่เมืองวิลเมตต์ บนฝั่งทะเลสาบมิชิแกน ใกล้เมืองชิคาโก แม้ในประเทศไทยก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ซอยหลังสวน ถนนเพลินจิต กรุงเทพฯ และยังมีสาขาต่างจังหวัดที่ เชียงใหม่ สงขลา และยโสธร อีกด้วย
ศาสนาบาไฮในทรรศนะทั่วไปถือกันว่า เป็นนิกายหนึ่งของศาสนาอิสลาม โดยแยกตัวมาจากนิกายชิอะห์ นิกายชิอะห์เชื่อว่าหลังจากอิหม่ามหรือกาหลิบอาลีสิ้นชีวิตแล้ว ก็จะมีอิหม่ามสืบสายต่อมาอีก 12 คน แต่คนที่ 12 ได้หายไปในคริสต์ศตวรรษที่ 9 แต่มุสลิมนิกายชีิอะห์เชื่อว่าสักวันหนึ่งในอนาคตจะมาปรากฏอีก ต่อมาพระบ๊อบได้ประกาศว่าตัวท่านนี่แหละคืออิหม่ามที่ 12 ทั้งได้ปฏิรูปศาสนาอิสลามเสียใหม่ อันเป็นเหตุถึงแก่ความตาย เพราะถูก ยิงเป้าในปี พ.ศ. 2393 แต่ชาวบาไฮถือว่า ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาใด เพราะศาสนาบาไฮมีศาสดา หลักการ คัมภีร์ศาสนา ปฏิทินศาสนา โบสถ์ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา เป็นต้น เป็นของตน จนได้ทำเรื่องเสนอให้องค์การสหประชาชาติรับรองว่าเป็นศาสนาอิสระศาสนาหนึ่ง ของโลก เมื่อ พ.ศ. 2490 ซึ่งทางองค์การสหประชาชาติ ก็ได้รับรองสถานะดังที่เสนอมา
แต่ศาสนาบาไฮในประเทศอิหร่านได้รับความกระทบกระเทือนมาก เพราะในปี พ.ศ. 2522 สมัยปฏิวัติศาสนาอิสลาม โดยมีอยาตอลละห์ รุฮอลลาห์ โคไมนี่เป็นหัวหน้าปกครองประเทศอิหร่าน เป็นสมัยที่ศาสนาบาไฮได้รับความเดือดร้อนเป็นที่สุด เพราะถูกถือว่าเป็นศาสนามิจฉาทิฏฐิ ชาวบาไฮถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก ที่ถูกจำคุกก็มีมากมาย ทรัพย์สินและบ้านเรือนถูกยึด สมบัติของศาสนา สุสาน และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ อีกทั้งเตรียมจะออกกฎหมายให้ถือว่า การฆ่าชาวบาไฮไม่ผิดอีกด้วย จึงเป็นเคราะห์ร้ายที่สุดของชาวบาไฮในประเทศอิหร่านซึ่งเป็นแผ่นดินที่เกิด ของศาสนาบาไฮเอง
free programes
Posted by sereykh at 18:06 0 comments
Labels: ប្រវត្តិសាសនាក្នុងលោក ជាភាសាសៀម
Tuesday 8 September 2009
ការបំបែកមិត្ត
កាលនោះព្រះរាជកុមារទាំងឡាយ ទ្រង់ត្រាស់សួរមហាបណ្ឌិតវស្ណុសម័នថា
«បពិតលោកអាយិះ! លោកបានបង្រៀ
នយើងខ្ញុំទាំងអស់គ្នាអោយបានចេះដឹងរឿងមិត្តលាភ គឺការគប់មិត្តចប់ស្រេចហើយ អិលូវនេះ យើងខ្ញុំចង់ស្តាប់
រឿង សុហរិទភេទ គឺការបំបែកមិត្តជាលំដាប់តទៅ សូមលោករៀបរាប់រឿងនេះអោយទានយើងងខ្ញុំស្តាប់ទៀត»។
មហាបណ្ឌិតវិស្ណុសម័នបានស្តាប់ព្រះបន្ទូលព្រះរាជកុមារទាំងឡាយនោះ ហើយក្រាបទូលថា «បើដូច្នោះ សូមទ្រង់
ទាំងឡាយរង់ចាំស្តាប់ទូលព្រះបង្គំ នឹងពណ៌នារឿងសុហរិទភេទ គឺការបំបែកមិត្តថ្វាយ ដូចមានស្លោកខាងដើមបទ
ថា៖
១ សេចក្តីស្នេហាស្និទ្ធស្នាលដ៏ប្រសើរ កំពុងចំរើនឡើងរវាងសត្វសីហៈ និងគោអុសក នៅក្នុងព្រៃមួយ ត្រូវចចក
ល្មោភជាអ្នកញុះញង់បំបែកអោយដល់សេចក្តីវិនាស អន្តរាយ
ព្រះរាជកុមារទាំងឡាយត្រាស់សួរថា «រឿងនោះតើដូចម្តេច?»។ មហាបណ្ឌិតវិស្ណុសម័នក្រាបទូលដូចតទៅនេះ
កថាទី១
រឿងគោអុសក ចចកពីរ និសត្វសីហៈ
នៅក្នុងប្រទេសទក្សិណបថ មាននគរមួយឈ្មោះសុវណ្ណវតី ជាទីអាស្រ័យនៅនៃពាណិជម្នាក់ឈ្មោះវធមានៈ ជាអ្នក
មានទ្រព្យច្រើន។ ពាណិជវិធមានៈ សូម្បីមានទ្រព្យស្រឹង្គារស្តុកស្តម្ភដូច្នេះក្តី កាលបើឃើញញាតិសន្តានដទៃទៀត
បរិបូណ៌ដោយទ្រព្យអនេកអន័គ្ឃ ក៏មានគំនិតនឹងស្វះស្វែងរកទ្រព្យសម្បត្តិ កពូនអោយរឹងរឹតតែមាន ច្រើនថែម
ទៀត ព្រោះថា
២ - នរជនដូចម្តេច កាលក្រលេកមើលទៅខាងក្រោមឃើញជនជាន់ទាបជាងខ្លួន មិនឡើងជោរអួតអាងថាខ្លួនធំ
មហិមា តែកាលក្រលេកមើលទៅខាងលើឃើញជន ជាន់ខ្ពាស់ជាងខ្លួន ទើបដឹងថាខ្លួនជាអ្នកកំសត់ក្រៃលែង។
៣ - នរជនណាមានទ្រព្យច្រើន នរជននោះសូម្បីសំលាប់ព្រះព្រហ្មមួយ ក៏នៅតែមានគេគោរពបូជា អែជនក្រីក្រ
សូម្បីមានវង្សត្រកូលខ្ពង់ខ្ពស់ស្មើនឹងវង្សព្រះបាទចន្ទៈ(រាជវង្សមួយក្នុងប្រទេសអិណ្ឌៀ រាជធានីឈ្មោះ ប្រតិស្ឋាន
ស្ថិតនៅចន្លោះទន្លេគង្គានិងយមុនា សព្វថ្ងៃនៅក្នុងខេត្តដូអាប តមកព្រះរាជវង្សនេះ ផ្សាយអានាខេត្ត ទៅដល់កុរុ
ក្សេត្រ ហើយតាំងរាជ ធានីជាលំដាប់នៅ អិន្រ្ទប្រស្ដ ហស្តិនាបុរៈ និងកោសម្ភី ) ក៏នៅតែគេមើលងាយ។
៤ - លកស្មី(សំណាង ទ្រព្យសម្បត្តិ) មិនរត់ទៅរកជនដែលអិតសេចក្តីប្រឹងប្រែង ខ្ជិលច្រអូស វង្វេងជឿ ព្រេងវាស
នា និងមិនមានព្យាយាមទេ ដូចប្រពន្ធក្មេងមិនអើពើប្តីចាស់ជរាដូច្នោះ។
៥- ភាវៈជាបុគ្គលខ្ជិល១ ការសេពគប់ស្រ្តីផ្កាមាស១ ភាវៈជាបុគ្គលមានទ្រព្យច្រើន១ ចិត្តជាប់ នឹងស្រុកកំណើត១
ចិត្តសន្តោស១ ភាវៈជាបុគ្គលខ្លាចច្រើន១ ទោស៦ប្រការនេះ ជាគ្រឿងទំលាយបង់នូវភាវៈខ្លួនជាធំ។
៦ - នរជនណា មានទ្រព្យសម្បត្តិតិចតួច សំគាល់ថា ខ្លួនមានទ្រព្យច្រើន មិនខំរកតទៅទៀត ព្រះព្រហ្មដែលជាអ្នក
សាងទ្រព្យសម្បិត្ត មិនព្រមចំរើនទ្រព្យសម្បត្តិអោយនរជននោះទេ។
៧ - កូនមិនអុស្សាហ៍ មិនជាទីគាប់ចិត្ត មិនមានវិរិយៈ ជាទីឡកឡឺយនៃសត្រូវ សូមកុំអោយស្រ្តីណាមួយបង្កើតកូន
បែបនេះអោយសោះ។
៨ -បុគ្គលគប្បីស្វែងរកទ្រព្យសម្បត្តិដែលមិនទាន់បាន គប្បីរក្សាទ្រព្យសម្បត្តិដែល រកបានហើយ កុំអោយរផាត់
រទាំងអស់ទៅវិញ គប្បីកពូនទ្រព្យសម្បត្តិដែលរក្សាទុកនោះ អោយចំរើនឡើងដោយប្រពៃ គប្បីកប់ទុកទ្រព្យ
សម្បត្តិដែលចំរើនឡើងហើយក្នុងបុញ្ញខេត្ត។
បុគ្គលកាលប្រាថ្នាទ្រព្យសម្បត្តិដែលមិនទាន់បាន តែងបានទ្រព្យសម្បត្តិនោះមក ដោយការយកទ្រព្យសម្បត្តិទៅ
ទាក់ អែទ្រព្យសម្បត្តិដែលរកបានហើយ បើមិនរក្សាទុកដោយម៉ត់ចត់ទេ សូម្បីមានទ្រព្យកប់ទុកជាកំណប់ច្រើន
ប៉ុណ្ណាក៏ដោយ ក៏នឹងវិនាសទៅអែង។ មួយទៀត ទ្រព្យសម្បត្តិដែលបុគ្គលមិនធ្វើអោយបានចំរើនច្រើនឡើងទេ
ក៏តែងតែអស់ទៅបន្តិចម្តងៗគ្រប់កាល ដូចជាការអស់ទៅនៃថ្នាំបន្តក់ភ្នែក ទ្រព្យសម្បត្តិនេះអែង បើបុគ្គលមិន
ចែកចាយជាទានអោយបានជាសាធារណសុខដល់ជនដទៃទេ ក៏អសារបង់សោះសូន្យទទេ ព្រោះថា៖
៩ -ទ្រព្យដែលគេមិនអោយទាន រឺមិនបរិភោគខ្លួនអែង មានប្រយោជន៏អ្វី? រេហ៍ពលដែលគេមិនយកទៅច្បាំងតស៊ូ
សត្រូវ មានប្រយោជន៍អ្វី? ការចេះដឹងគម្ពីរដិកាធម៌ អាថិ បើគេមិនប្រតិបត្តិតាម តើមានប្រយោជន៏អ្វី? ខ្លួនយើង
បើមិនទូន្មានអិន្រ្ទីយ អោយបានបទទេ តើមានប្រយោជន៍អ្វី?
១០ - ទឹកស្រក់មួយដំណក់ៗ ជាលំដាប់ អាចពេញក្អមបាន នេះជាគ្រឿងអុបមានៃការរៀនសព្វវិជ្ជា ការប្រតិបត្តិធម៌
និងការសន្សំទ្រព្យសម្បត្តិ។
១១ ជីវិតនរជនណា ដែលបណ្តោយអោយថ្ងៃប្រព្រឹត្តកន្លងទៅទទេ ដោយមិនបាន បរិច្ចាគទ្រព្យខ្លួនជាទាន និងបរិ
ភោគបំពេញផ្ទៃខ្លួនអែងទេ ជីវិតនរជននោះ ដូចស្នប់ជាងដែក សូម្បីរស់ដកដង្ហើមចេញចូលបាន ក៏ឈ្មោះថាស្លាប់។
ពាណិជវធមានៈ គិតឃើញដូច្នេះហើយ ក៏ប្រមូលទំនិញផ្សេងៗ ផ្ទុកពេញរទេះ ហើយយកគោអុសកទាំងពីរ គឺនន្ទ
កៈ និងសញ្ជិវកៈទៅទឹម ធ្វើដំណើរចេញទៅប្រទេស កស្មីរ ដើម្បីធ្វើជំនួញព្រោះថា៖
១២ បុគ្គល កាលឃើញការអស់ទៅនៃថ្នាំបន្តក់ភ្នែក និងការកពូននៃកណ្តៀរហើយ គប្បីប្រឹងប្រែងអោយកើតប្រ
យោជន៍រាល់ៗថ្ងៃ ដោយការអោយទាន ដោយការសិក្សាក្បួនខ្នាត និងដោយការធ្វើការងារ។
១៣ - ភារៈដូចម្តេច ដែលហៅថាធ្ងន់ណាស់ សំរាប់អ្នកមានសមត្ថភាព? ទីណាដែល ហៅថាឆ្ងាយណាស់សំរាប់អ្នក
មានព្យាយាមច្រើន? ប្រទេសណា ដែលហៅថា បរទេសសំរាប់អ្នកមានចំណេះវិជ្ជា? ជនណាដែលហៅថាអ្នក
កន្ទៀតសំរាប់អ្នកមាន ប្រីយវាទ?។
ខណដែលពាណិជវធមានៈ ធ្វើដំណើរចរចេញទៅដល់ព្រៃធំទុរគមថានស្ងាត់មួយ ជាគ្រោះថ្នាក់ គោអុសកសញ្ជីវ
កៈ ភ្លាត់ជើងដួលបាក់ភ្លៅម្ខាង ដើរទៅមិនរួច ពាណិជវធមានៈ ឃើញដូច្នេះហើយរំពឹងគិតថា៖
១៤ - ជនអ្នកចេះដឹងនិតិសាស្រ្ត ល្បងធ្វើព្យាយាមខាងនេះខាងនោះលមើលទៅចុះ តែផលដែលត្រូវបាននោះ ព្រះ
ព្រហ្មលោកលិខិតទុកអោយដិតជាប់ក្នុងចិត្តរួចស្រេចហើយ។
១៥ សេចក្តីសង្ស័យស្ទាក់ស្ទើរចិត្ត ជាការអន្តរាយដល់សារពើការងារ បុគ្គលគប្បីលះបង់ចោលអោយស្រលះទៅ
ព្រោះកាលបើលះបង់សេចក្តីសង្ស័យស្ទាក់ស្ទើរ ចិត្តហើយការសំរេចផលប្រយោជន៏នឹងកើតប្រាកដទៅតាមរបៀ
ប។
លុះពិចារណាឃើញច្បាស់ដូច្នេះហើយ ពណិជវធមានៈ ទុកគោអុសកសញ្ជីវកៈ ចោលនៅនាព្រៃនោះ ដើរកាត់ទៅ
កាន់នគរធមរបុរីរកទិញគោសកមានរូបធាត់ធំមាំមួនបានមួយ យកមកទឹមរទេះជំនួស ហើយធ្វើដំណើររហូតត
ទៅទៀត។ អែគោសញ្ជីវក កាលដែលគេបោះបង់ចោលហើយទៅបាត់ ខំដើរខ្ចក់ខ្ចើចតែជើងបីខ្វានៗ រកស៊ីស្មៅ
ក្បែរទីនោះចិញ្ចឹមជីវិត ព្រោះថា៖
១៦ - សូម្បីលិចលង់ក្នុងមហាសមុទ្រ រឺធ្លាក់ចុះពីលើកំពូលភ្នំ រឺក៏ត្រូវនាគតស្សកៈ(ឈ្មោះស្តេចនាគមានរិទ្ធិខ្លាំងពូ
កែ) ចឹក បើមិនទាន់ដល់កាលស្លាប់ទេ អាយុនៅតែរក្សាជីវិតអិន្រ្ទីយអោយរស់តទៅបាន។
១៧ - សត្វលោកសូម្បីត្រូវសរមួយរយផ្លែ បើមិនទាន់ដល់កាល ក៏មិនស្លាប់ បើដល់កាលមរណៈហើយសព្វបើមុត
ដោយស្បូវបន្តិចក៏មិនរស់ដែរ។ (ហិតោបទេសភាសាបារាំងនៃលោក ឡង់សឺរូមានគាថាដូច្នេះ នរជនមិនទាន់ដល់
បាលបាណៈ សូម្បីធ្លាក់ពីលើកំពូលភ្នំលិចលង់ក្នុងមហាសមុទ្រក្តី ធ្លាក់ក្នុងភ្លើងក្តី ប្រលែងជាមួយពស់ក្តី ក៏មិនស្លាប់។
១៨ អ្វីមួយមិនមានគេរក្សា តែមានបុណ្យវាសនាជួយរក្សា ក៏អាចឋិតថេរទៅបាន អ្វីមួយមានគេរក្សាល្អហើយ តែ
បុណ្យវាសនាមិនជួយរក្សាផងក៏វិនាសអន្តរាយទៅបាន ប្រៀបដូចនរជនអានាថាគេលះបង់ចោលកណ្តាលព្រៃជ្រៅ
គង់មានជិវិតរស់បាន អែនរជនមានគេរក្សាប្រយ័ត្នប្រយែងនៅក្នុងផ្ទះក៏ស្លាប់ទៅបាន។
ក្នុងថ្ងៃដែលកន្លងទៅដោយលំដាប់ គោអុសកសញ្ជវកៈដើរស៊ីស្មៅជាអាហារក្បែរមាត់ស្ទឹងតាមទំនើងចិត្ត ហើយ
អាស្រ័យនៅក្នុងទីនោះ ឡើងសាច់ឈាមធាត់មាំមួន មានកំលាំងក្លៀវក្លាហាន បោលលោតលេងកញ្ឆាក់កញ្ឆេង
រោទ៍លាន់លឺគឹកកងរំពងព្រៃ។ មានសត្វសិហៈមួយឈ្មោះបិង្កលកៈជាស្តេចសត្វចតុប្បាទអាស្រ័យនៅក្នុងព្រៃនោះ
សោយសេចក្តីសុខក្នុងរាជសម្បត្តិដែលខ្លួនតតាំងច្បាំងយកបានដោយកំលាំងដៃខ្លួន ព្រោះថា៖
១៩ - ម្រឹគទាំងឡាយ មិនធ្វើពិធីបុណ្យអភិសេកអោយសីហៈទេ សីហៈបានរាជ្យ បាន ជាធំលើពួកសត្វម្រឹគដោយកំ
លាំងព្យាយាមនៃខ្លួនអែង។
ថ្ងៃមួយ បិង្កលកៈស្រេកទឹក ដើរចេញទៅរកផឹកទឹកនៅត្រើយស្ទឹងយមុនា កំពុងតែដើរទៅ បានលឺសំលេងរោទ៍រំព
ងព្រៃ ហាក់ដូចជាមហាមេឃគ្រហឹមគ្អិល គគ្រឹកគេគ្រងរកកល់នឹងស្រក់ធ្លាក់ចុះមក លុះលឺសំលេងរោទ៍នោះហើ
យ ភ័យតក់ស្លុតរន្ធត់ចិត្តមហិមា មិនហ៊ានចុះទៅផឹកទឹក ក៏វិលត្រលប់ទៅកាន់ទីលំនៅដើមខ្លួនវិញ គិត ពិចារណា
មើលមិនយល់ថាជាសំលេងអ្វីសោះ ក៏អង្គុយនៅស្ងៀមស្ងាត់មិនមាត់កឡើយ។ កាលនោះមានចចក២ មួយឈ្មោះ
ករដក មួយទៀតឈ្មោះទមនកៈ ជាកូនមន្រ្តីចាស់នៃសីហៈនោះ នៅក្នុងទីជិតនោះដែរ ឃើញបិង្កលកៈ កំពុងអង្គុយ
វិតក្ក ទ្រមឹងទ្រមើយដូច្នោះ ចចកទមនកៈសួរទៅកាន់ចចកករដកៈថា «នែសំលាញ់ករដកៈម្ចាស់យើងស្រេកទឹក មា
នរឿងអ្វីទៅហើយបានជាមិនផឹកទឹក ហើយវិលត្រលប់មកវិញ ស្រាប់តែញាប់ញ័ររន្ធត់ សញ្ជប់សញ្ជឹងអង្គុយនៅ
ស្ងៀមស្ងាត់បាត់មាត់បាត់កដូច្នេះហ្ន៎?»។ ចចកករដកៈឆ្លើយប្រាប់ថា «ហៃមិត្តទមនកៈ! តាមចិត្តខ្ញុំ យើងមិនត្រូវសេ
ពគប់ម្ចាស់នេះទេ បើទុកជារឿងដូច្នេះកើតឡើង មានប្រយោជន៍អ្វីនឹងជួយយកអាសារ អិលូវនេះ កុំទៅអោយប្រើ
ល្អជាជាង ម្ចាស់យើងមិនមានលក្ខណៈធ្វើជាមេបាគេទេ យើងមិនមានទោសខុសអ្វីសោះ ស្រាប់តែមើលងាយ
បណ្តេញបំបរបង់យើង មិនដែលនឹកនាយើងសោះ យើងរងទុក្ខធំបែបនេះមកអស់កាលយូរយាណាស់ហើយ
ព្រោះថា៖
២០ ចូរមើល! គួរអនិច្ចាអ្នកបំរើ ចូលចិត្តធ្វើខ្ញុំបំរើគេ ព្រោះតែចង់បានទ្រព្យ មនុស្សល្ងង់ចូលចិត្តបំរើគេរហូតដល់
វិនាសអិស្សរភាពខ្លួនក៏មិនថា។
២១ អ្នកធ្វើបំរើគេ តែងធន់ទ្រាំលំបាកដោយត្រជាក់ ដោយខ្យល់ និងដោយកំដៅថ្ងៃអិតបានប្រយោជន៍អ្វីសោះ អែ
អ្នកប្រាជ្ញខំបំពេញតបៈ បើទុកជាលំបាក គង់បានសេចក្តីសុខជាផល។
២២ ការតាំងខ្លួនមិនអោយជាខ្ញុំគេ តែងបានផលជាសុខដល់ជីវិត បើជនណាព្រមនៅក្នុងអំណាចគេ ជននោះឈ្មោះ
ថាមានជីវិតរស់ ដូច្នោះតើជនបែបណាវិញហ្ន៎ដែលឈ្មោះថាស្លាប់?។ (ហិតោបទេសភាសាបារាំងរបស់លោកឡង់
សឺរូ មានគាថាលើសដូច្នេះ នរជនខ្លះប្រលែងជាមួយ ពស់ នរជនខ្លះបរិភោគកាមដោយប្រពន្ធជនដទៃ និងនរជនខ្លះ
ជាខ្ញុំបំរើស្តេច អោគួរអនិច្ចា! មនុស្សលោកយើងនេះ ជាសត្វកាចសាហាវណាស់តើ!។)
២៣ «មកណេះ! ទៅ! ក្រោកឡើង! និយាយទៅ! នៅអោយស្ងៀម!» នេះជា សំដីអ្នកធំមានទ្រព្យសម្បត្តិនិយាយ
លេងជាល្បែង ចំពោះអ្នកក្រីក្រជាខ្ញុំបំរើដែល សេចក្តីប្រាថ្នាទ្រព្យចាប់ត្របាក់បានហើយ។
២៤ - ជនអប្បអិតប្រាជ្ញា សំរាំងខ្លួនហើយសំរាំងទៀត ទុកបំរុងគ្រាន់តែបំរើជនដទៃ ជានាយព្រោះប្រាថ្នាទ្រព្យ ដូច
ស្រ្តីផ្កាមាសតុបតែងខ្លួនអោយល្អ ទុកសំរាប់តែបុរស។
២៥ ចៅហ្វាយនាយ តែងក្រលេកសំលឹងមើលការខុសឆ្គងមិនបរិសុទ្ធជាប្រក្រតីនៃខ្ញុំបំរើ ដោយភ្នែកណា អ្នកបំ
រើតែងរំពៃមើលភ្នែកនោះនៃម្ចាស់ដោយច្រើន។
២៦ បើនៅត្រមឹងមិននិយាយច្រើន គេថាល្ងង់ បើនិយាយ គេថានិយាយច្រើនពេក រឺថាឆ្កួត បើចេះអត់ធ្មត់ គេថា
ខ្លាច បើជេរមិនឈឺ គេថានាកិជាតិ (ត្រកូលថោកទាប) បើនៅជិត គេថាហ៊ានពេក បើនៅឆ្ងាយដោយមានវិន័យ
គេថា ញញើតញញើមពេក សូម្បីព្រះយោគី (ព្រះអីសូរ)ក៏ផ្គាប់ចិត្តម្ចាស់អោយពេញបរិបូណ៍មិនបាន ដែរ អោហ្ន៎
នាទីជាខ្ញុំបំរើគេមានអាថិកំបាំងជ្រាលជ្រៅគួរតក់ស្លុតណាស់តើ!។
២៧ - អ្នកបំរើលើកដៃសំពះ ព្រោះតែម្ចាស់ក្រោក, លះបង់ប្រាណ ព្រោះតែការពារជីវិតម្ចាស់ ទទួលរងសេចក្តីទុក្ខ
ខ្លួនអែង ព្រោះតែរក្សាសេចក្តីសុខម្ចាស់, អោ!អនិច្ចា ខ្ញុំបំរើគេ! មានអ្វីល្ងង់ខ្លៅថោកទាបជាងនេះទៅទៀតហ្ន៎!។
ចចកទមនកៈ និយាយកាត់ឡើងថា៖ «នែសំលាញ់! ពាក្យនេះគេមិនត្រូវយកមក ទុកដាក់ក្នុងចិត្តសោះទេ ព្រោះថា៖
២៨ - ហេតុដូចម្តេច ក៏គេមិនគប្បីសេពគប់អិស្សរជនម្ចាស់ដ៏ប្រសើរ បើម្ចាស់គាប់ចិត្តហើយ មិនយូរប៉ុន្មាន ម្ចាស់
នឹងបំពេញមនោរថមិនខាន។
២៩ បើមិនធ្វើជាសេវកាមាត្យ តើនឹងបានចាមរសែនត្វ័នស្វេតច្ឆត្រដោមដុងលើចុងដងក្លស់ មានពាជី គជេន្រ្ទ និង
កងទ័ពចោមរោមរុងរឿងមកពីណា?»។ ចចកករដកៈ និយាយថា៖ «បើទុកជាដូច្នោះ យើងមិនត្រូវជួញរវល់ដែរ មា
នប្រយោជន៍អ្វីសំរាប់យើង? ការជួញរវល់ក្នុងការមិនត្រូវជួញរវល់ មានតែសេចក្តីវិនាសសាបសូន្យ ចូរមើល!។
៣០ នរជនណា ជួញចិត្តរវល់ ក្នុងការដែលមិនត្រូវរវល់ នរជននោះ នឹងត្រូវដេកស្លាប់លើផែនដី ដូចពានរ ថ្លស់ខ្លួន
ដល់ស្លាប់ ព្រោះចាប់ទាញឈើស្នៀត»។ ចចកទមនកៈ សួរឡើងថា «ចុះរឿងនោះ តើដូចម្ដេច?»។ ចចកករដកៈ និ
យាយរៀបរាប់ប្រាប់ថា៖
កថាទី ២
រឿងពានរនិងសសរ
នៅក្នុងប្រទេសមគធៈ មានជនត្រកូលកាយស្ថ (ត្រកូលនេះតាមយោជ្វវល្កយ្យ ជាវណ្ណសូទ្រៈតែមានឋានៈជាក្សត្រ)
ម្នាក់ឈ្មោះសុភទត្ត បានចាត់ចែងជាងអោយកសាងវិហារជិតធមារណ្យមួយ។ នៅវិហារនោះ មេជាងបង្គាប់អោយ
កូនជាង អារពុះចុងសសរចំកណ្តាល ហើយអោយយកស្នៀតទៅស៊កទុកត្រង់កណ្តាលសសរដែលអារនោះ។ មាន
ស្វាមួយហ្វូងធំ តែងវារលោតលេងតាមទំនើងចិត្ត ពីទីនេះទីនោះរហូតដល់ទីឋាននោះ។ មានពានរមួយកាលមរណ
មកដល់ ក៏ទៅអង្គុយលើសសរដែលគេអារពុះជាពីរនោះ យកដៃទាំងពីរចាប់ទាញស្នៀតលេងជា ល្បែងអិតពិចារ
ណា។ ស្វាសវាទាំងពីរសំយុងស្តោកធ្លាក់ទៅចំចន្លោះសសរដែលគេអារពុះជាពីរនោះ។ រីចុងទាំងពីរនៃសសរនោះកា
លពានរទាញស្នៀតចេញផុតហើយ ក៏ក្តោបមកវិញកៀបស្វាសទាំងពីរខ្ទេចល្អិតជាផង់ធូលី ដល់ក្តីស្លាប់ទៅហោង
ហេតុនោះបានជាខ្ញុំ(ករដកៈ) និយាយថា «នរជនណាជួញចិត្តរវល់ ក្នុងការដែលមិនត្រូវរវល់» ដូច្នេះជាដើម(លេខ
៣០)។
ចចកទមនកៈនិយាយអួតអាងថា៖ «មែនពិតហើយ តែសេវកាមាត្យត្រូវតែយកចិត្ត ទុកដាក់មើលការងារម្ចាស់និង
ខានពុំបាន»។ ចចកករដកៈ ឆ្លើយកាត់ថា៖ «មុខក្រសួងត្បូងការទាំងពួង អ្នកណាមាននាទីជាប្រធានមន្រ្តី អ្នកនោះ
ត្រូវធ្វើការងារនោះ ចុះអ្នកតូចតាចដូចយើងមិនគួរគប្បីទៅជែងជួយព្រួយយកការងារគេដទៃមកធ្វើជំនួសទេ ចូរ
មើល!
៣១ - នរជនណាព្រួយជួសគេ ទៅជែងយកការងារជនដទៃមកធ្វើជំនួស ព្រោះតែប្រាថ្នាប្រយោជន៍អោយនាយចៅ
ហ្វាយ នរជននោះត្រូវគេសំលាប់ចោលបង់លើផែនដី ដូចលាត្រូវគេវាយសំលាប់ចោលបង់សៀតព្រោះតែបញ្ចេ
ញសំលេង»។
ចចកទមនកៈ សួររឿងនោះថា «តើរឿងនោះដូចម្តេច»។ ចចកករដកៈនិយាយរឿងនោះប្រាប់ថា៖
កថាទី៣
រឿងលានិងឆ្កែ
នៅក្រុងពារាណសី មានអ្នកជ្រលក់ម្នាក់ឈ្មោះកបូរបដកៈ។ អ្នកជ្រលក់នោះអង្គុយនិយាយលេងជាមួយប្រពន្ធក្មេ
ងស្រស់ប្រិមប្រីយ កំពុងេពញពាលដោយក្តីស្នេហ៍ស្នាលអស់កាលយូរហើយ ដេកប្រកៀកប្រអោបគ្នាលន់លក់ស៊
ប់មិនដឹងខ្លួន។ កាលនោះមានចោរម្នាក់ចូលមកលបលួចទ្រព្យក្នុងផ្ទះអ្នកជ្រលក់នោះ។ នៅក្នុងទីលានផ្ទះនោះ គេ
បានចងលាមួយទុក មានឆ្កែមួយចូលទៅដេកជាមួយលានោះដែរ លាក៏និយាយទៅកាន់ឆ្កែថា «ហៃសំលាញ់! មុខ
ការនេះ ជាកិច្ចធុរៈអែងហើយ ហេតុអ្វីក៏អែងមិនព្រុះ អោយលឺខ្លាំងឡើងអោយម្ចាស់យើងភ្ញាក់?»។ ឆ្កែឆ្លើយថា
«នែសំលាញ់ដ៏ចំរើន! អែងមិនត្រូវជួយព្រួយជែងរវល់ដល់កិច្ចការអញទេ អែងមិនដឹងជាអញនៅរក្សាផ្ទះទាំងយប់
ទាំងថ្ងៃទេរឺអ្វី? សូម្បីអញចិត្តទុកដាក់ថែរក្សាផ្ទះដល់ម្លោះ ម្ចាស់យើងក៏មិនរវល់ធ្វើដឹងលឺម្ចាស់យើងមិនភិតភ័យអ្វី
សោះ បានក្តីសុខមកអស់កាលយូរណាស់ហើយ ដល់មកពេលនេះ គ្រាន់តែអើពើនឹកនាអោយទានអាហារបន្តិច
បន្តួចក៏មិនអោយ តែការនេះជាធម្មតាម្ចាស់ បើមិនចេញមានទុក្ខធុរៈអ្វីទេ មិនរវល់អើពើនឹកនាអ្នកបំរើឡើយ»
។ លាបានស្តាប់ហើយ ស្តីបន្ទោសថា «ស្តាប់មើលវាហៈ អាពាលចង្រៃនេះ! ។
៣២ - នរជនណាមួយ ចាំបាច់គេហៅរកក្នុងកាលប្រកបការងារនរជននោះគេហៅថា «អ្នកបំរើ» រឺហៅថា «សំលា
ញ់» ដូចម្តេចកើត?»។
ឆ្កែឆ្លើយថា «បើនរជនណាហៅរកខ្ញុំបំរើ តែក្នុងពេលដែលត្រូវប្រើធ្វើការងារ តើនរជននោះ នឹងឈ្មោះថា «ម្ចា
ស់»ដូចម្តេចកើត?។
៣៣ - ការចិញ្ចឹមខ្ញុំបំរើដែលជ្រកអាស្រ័យនៅជាមួយ ការសេពគប់ម្ចាស់ ការប្រតិបត្តិធម៌ និងការប្រសូតកូន ទាំង
អស់នេះអិតមានអ្នកណាលូកដៃទៅធ្វើជំនួសបានទេ»
លំដាប់នោះ លាក្រោធស្រែកជេរថា «នែអាចង្រៃ! អាគំនិតខូច! អាអែងអាក្រក់អ្វីម្លេះ ក្នុងកាលវិបត្តិ អែងហ៊ាន
ធ្វើព្រងើយ មិនអើពើដល់ការងារម្ចាស់ មិនថ្វីទេ ចាំមើលដល់ម្ចាស់ក្រោកឡើង អែងគង់ដឹងខ្លួន អញមុខជាប្រាប់
ម្ចាស់ហើយព្រោះថា៖
៣៤ - បុគ្គលគួរបូជាព្រះអាទិត្យពីខាងេក្រាយខ្នង បូជាភ្លើងពីខាងពោះ បូជាម្ចាស់ដោយកាយនិងចិត្ត និងប្រតិបត្តិ
ដើម្បីបរលោកដោយមិនមានមាយា»។
លុះលាពោលដូច្នេះហើយ ក៏តាំងស្រែកដោយសំរែកដ៏ខ្លាំង ដើម្បីអោយម្ចាស់ភ្ញាក់ ខណនោះអ្នកជ្រលក់ភ្ញាក់ស្លន់
ស្លាក្រញាងឡើងដោយសំរែកខ្លាំងនោះ គ្នាន់ក្នាញ់ណាស់ព្រោះដាច់ដំណេក ក្រោកឡើងក្រទីក្រទាចាប់ទាញដំបង
សំពងលានោះយ៉ាងអស់ទំហឹង រីលានោះត្រូវដំបងដំណំទ្រមខ្លួនដល់នូវក្តីស្លាប់ទៅហោង។ ព្រោះហេតុ នេះបានជា
ខ្ញុំ(ករដកៈ)ពោលថា «នរណាព្រួយជួសគេ» ដូច្នេះជាដើមលេខ៣១។
អែងពិនិត្យមើល! យើងត្រូវហែហមម្ចាស់តែក្នុងកិច្ចការរបស់យើងប៉ុណ្ណេះបានហើយ ថ្ងៃនេះយើងក៏សេសសល់
អាហារគ្រប់គ្រាន់ហើយយើងទៅជួយរវល់តើមានប្រយោជន៏ដូចម្តេច?។ ចចកទមនកៈ ទាស់ចិត្តឆ្លើយកាត់ឡើង
ថា «ចុះយើងបំរើម្ចាស់ផែនដី ព្រោះតែចង់ បានអាហារស៊ីតែប៉ុណ្ណឹងទេ? សំដីអែងនិយាយនេះឆ្វេងណាស់ មិនសម
រម្យតាមគន្លងទេ ព្រោះថា៖
៣៥ - ការពឹងពាក់ព្រះនរបតី អ្នកប្រាជ្ញត្រូវការចង់បាន ដើម្បីធ្វើអុបការៈជួយមិត្ត និងដើម្បីបំផ្លាញសឹកសត្រូវ នរ
ណាហ្ន៎ពឹងពាក់ព្រះនរបតីព្រោះហេតុតែបំពេញផ្ទៃខ្លួនប៉ុណ្ណោះ?។
៣៦ - ជីព្រាហ្មណ៍ មិត្រនិងញាតិសន្តាន មានជីវិតរស់នៅ ព្រោះអាស្រ័យជីវិតនៃនរជនណា ជីវិតនរជននោះឈ្មោះ
ថាប្រកបដោយផល នរណាហ្ន៎មិនចិញ្ចឹមជីវិតព្រោះប្រយោជន៏ខ្លួន!?។
៣៧ - បើអ្នកណាមានជីវិតរស់នៅ បានញ៉ាំងជនដទៃច្រើនអ្នកអោយមាន ជីវិតរស់នៅបានផង សូមអោយអ្នកនោះ
មានជន្មាយុរស់នៅយឺនយូរ រីសត្វក្អែកវាមិនអាចបំពេញផ្ទៃវាបានដោយចំពុះវារឺ?
៣៨ - មនុស្សខ្លះសុខចិត្តនៅជាខ្ញុំគេ ត្រឹមតែ៥បុរាណ (រៀល) មនុស្សខ្លះទៀត សុខចិត្តនៅជាខ្ញុំគេលុះតា្រតែបាន
១០០.០០០បុរាណៈ រីមនុស្សមួយពួកទៀត ចិត្តប្រសើរមិនសុខចិត្តនៅជាខ្ញុំគេសូម្បីច្រើនជាង ១០០.០០០បុរាណៈ។
៣៩ - ធម្មតាមនុស្សជាតិដូចគ្នា ភាពជាខ្ញុំគេ អ្នកប្រាជ្ញតិះដៀលក្រៃលែង បណ្តាខ្ញុំគេ អ្នកណាមិនបានជាដើមគេទេ
គួរនឹងរាប់អ្នកនោះថាមានជីវិតរស់នៅនឹងគេដែររឺទេ?
៤០ - រវាងពាជី ដំរី លោហធាតុ រវាងឈើ ថ្ម សំពត់ រវាងនារី និង បុរស ទឹកទាំងអស់នេះឃ្លាតផ្សេងពីគ្នាធំណាស់។
អ្នកខ្លះសូម្បីបានបន្តិចបន្តួចក៏ស្កប់ចិត្តដែរ។
៤១ - ធម្មជាតិឆ្កែបានឆ្អឹង សូម្បីអស់សាច់រលីងហើយនៅសល់តែសរសៃខ្លាញ់វាវបន្តិចបន្តួច ក៏ត្រេកអរកខិបកខុប
មែនពិត ឆ្អឹងនោះមិនអាចបន្សាត់បង់សេចក្តីស្រេកឃ្លានឡើយ រីអែសីហៈ សូម្បីបានចចកមួយមកនៅក្នុងក្រញាំ
ក្រចកខ្លួនហើយ ក៏នៅតែបោះបង់ចោលហើយស្ទុះទៅចាប់សំលាប់ដំរីសារមួយទៀត ជនទាំងពួងទោះ តោកយ៉ាក
លំបាកក្តីណា តែងតែមានសេចក្តីប្រាថ្នាចង់បានផលទៅតាមទំនងភាពខ្លួនជាសត្វលោក។ មួយទៀត ចូរពិចារណា
មើលសេចក្តីផ្សេងគ្នារវាងម្ចាស់ នឹងខ្ញុំបំរើដូចតទៅនេះ៖
៤២ - ឆ្កែលុតក្រាបរាបទាបជិតជើងម្ចាស់ ហាមាត់បង្ហាញចង្កូម បក់កន្ទុយរវិចៗនៅនឹងដី ចាំទទួលសំណល់អារ
ហារដែលម្ចាស់បោះទៅអោយ អែដំរីជាសត្វប្រសើរ មៀងមើលម្ចាស់ដោយរឹកមាំ លុះត្រាតែលួងលោមច្រើន
រយដងទើបបរិភោគ។
៤៣ - ជីវិតនៃមនុស្សណា សូម្បីតាំងនៅតែមួយខណៈ តែមិនប្រាសចាកការចេះដឹង សេចក្តីព្យាយាមអង់អាច និង
កេរ្តិ៍ឈ្មោះយសសក្តិ អ្នកប្រាជ្ញពោលថាជីវិតនៃមនុស្សនោះ ពេញជាជីវិតដ៏ប្រសើរនៅនាលោកនេះព្រោះថា ក្អែក
អាចមានជីវិតរស់នៅយូរបានព្រោះការស៊ីសំណល់គ្រឿងពលី។
៤៤ - ជីវិតនរជនណាដែលមិនផ្សាយសេចក្តីអាណិតអាសូរចំពោះកូនខ្លួន ចំពោះគ្រូ ចំពោះពួកខ្ញុំបំរើ ចំពោះជនក្រី
ក្រលំបាក និងចំពោះញាតិសន្តាន ជីវិតនៃនរជននោះ បានផលប្រយោជន៍អ្វីនៅនាមនុស្សលោកនេះ? ព្រោះថាក្អែក
អាចមានជីវិតរស់នៅយូរបាន ព្រោះការស៊ីសំណល់គ្រឿងពលី។
៤៥ - នរជនអប្បអិតប្រាជ្ញាពិចារណាប្រយោជន៍ និងមិនមែនប្រយោជន៏ ប្រព្រឹត្តកន្លងគន្លងច្បាប់ច្រើនប្រការ មាន
សេចក្តីប្រាថ្នា គ្រាន់តែបំពេញផ្ទៃខ្លួនប៉ុណ្ណោះ នរជននេះហៅថាមនុស្សតិរច្ឆាន អែមនុស្សតិរច្ឆាននឹងបសុសត្វមាន
សេចក្តីប្លែកគ្នាដូចម្តេចខ្លះ?»
ចចកករដកៈពោលតបទៅថាៈ «ណ្ហើយ! យើងទាំងពីរនាក់មិនមែនជាប្រធានទេ យើងបបួលគ្នាគិតពីរឿងនេះ តើ
មានប្រយោជន៍អ្វី?»។ ចចកទមនកៈឆ្លើយថា «បើដូច្នេះ តើអាមាត្យដែលបានជាប្រធាន រឺមិនទាន់បានជាប្រធាន
នឹងទ្រទ្រង់ភាពបែបនោះអស់កាលប៉ុន្មាន ព្រោះថា៖
៤៦ នៅនាលោកនេះ នរណាៗក៏គេមិនអាចកំណត់បានថាខ្លួនជាជនខ្ពង់ខ្ពស់ រឺជាជន ថោកទាបជាងអ្នកណាតាមស
ភាពខ្លួនអែងបានទេ ចេស្តា(សំណាង) ខ្លួនទើបនាំនរជនទៅកាន់ភាវៈគួរគោរព រឺកាន់ភាវៈវិបរិតមិនគួរគោរព។
៤៧ ថ្មបុគ្គលលើកយកឡើងទៅដាក់លើកំពូលភ្នំបានដោយសេចក្តីព្យាយាមដ៏ធំ តែបើទំលាក់ចុះពីលើកំពូលភ្នំវិញ
បានដោយងាយយ៉ាងណា ខ្លួនយើងឡើងទៅកាន់ឋានៈខ្ពង់ខ្ពស់ដោយគុណ គឺក្តីព្យាយាមដ៏ធំ តែបើធ្លាក់ទៅកាន់ឋានៈ
ថោកទាបវិញ ដោយទោសដ៏ងាយៗក៏យ៉ាងនោះអែង។
៤៨ នរជនធ្លាក់ចុះទៅខាងក្រោម រឺឡើងខ្ពស់ទៅខាងលើដោយកម្មជារបស់ខ្លួន ដូចជាគេជីកអណ្តូង រឺកសាងកំពែង
តែងទាបខ្លួនចុះទៅតាមជំរៅអណ្តូង រឺអណ្តែតខ្ពស់ឡើងតាមកំពស់កំពែង។
នែសំលាញ់អើយ! ខ្លួនយើងនេះ មានតែសេចក្តីព្យាយាមដែលនាំអោយសំរេចប្រយោជន៍គ្រប់យ៉ាង»។ ចចកទមន
កៈសួរថា «បិង្គលកៈ ម្ចាស់យើងនេះ ខ្ញុំឆ្ងល់មិនដឹងជាមានហេតុការណ៍អ្វី បានជាភិតភ័យតក់ស្លុតរត់ត្រលប់មកវិញ
?»។ ចចកករដកៈឆ្លើយថា «ចុះអែងធ្វើដូចម្តេចនឹងដឹងរឿងពិត?»។ ចចកទមនកៈនិយាយបញ្ចេញប្រាជ្ញ «រឿងអ្វី
ដែលអ្នកប្រាជ្ញមិនដឹង? ព្រោះថា៖
៤៩ - ពាក្យពេចន៍ ដែលបុគ្គលពោលចេញហើយ សូម្បីបសុសត្វក៏ចាប់យកសេចក្តីបាន សេះ និងដំរីដែលគេហ្វឹកហ្វឺ
នហើយ កាលបើជនបង្គាប់អាចនាំជនទៅបាន ជនជាបណ្ឌិត សូម្បីគេមិនហាមាត់ចេញនិយាយ វាងវៃដឹងទាន់ព្រោះ
ថាប្រាជ្ញាមានផលប្រសើរ គឺការដឹងនូវទឹកចិត្តនៃជនដទៃ ដែលមានអាការចេញមកខាងក្រៅ។
៥០ - បុគ្គលអាចកត់សំគាល់ នូវចិត្តនៃបុគ្គលដទៃដែលឋិត នៅខាងក្នុងដោយអាការខាងក្រៅបាន គឺដោយចរិយា
ដោយគតិ ដោយកិរិយា ដោយទឹកសំដី និងដោយវិការៈនៃភ្នែក និងមុខមាត់។ ពេលនេះ ជាអោកាសល្អ រូបខ្ញុំនឹងធ្វើ
ម្ចាស់យើង ដែលកំពុងមានអាសន្នភ័យខ្លាចនេះ អោយនៅក្នុងកណ្តាប់ដៃដោយកម្លាំងប្រាជ្ញារបស់ខ្ញុំព្រោះថា៖
៥១ - ពោលពាក្យអោយសមតាមកាលៈទេសៈ ធ្វើខ្លួនអោយគេស្រលាញ់ប្រាកដ ស្មើនឹងភាពជាអ្នកសប្បុរស ចេះ
ក្រោធអោយសមតាមសក្តិខ្លួន អ្នកណាចេះធ្វើ ដូច្នេះអ្នកនោះជាបណ្ឌិត»។ ចចកករដកៈពោលបង្អាប់ថា «នែសំលា
ញ់អើយ! អែងមិនចេះប្រតិបត្តិនាទីជាសេវកាមាត្យទេ អែងមើលហះ! លោកពោលថា៖
៥២ - នរជនណាម្ចាស់មិនបានហៅ ដើររត់ត្រុកចូលទៅរកម្ចាស់មិនសួរ និយាយចែប៉ប្រែច្រើន ដោយសំគាល់ខ្លួន
ថាជាទីប្រោសប្រាណនៃព្រះភូបាល នរជននោះ ឈ្មោះថាជនអប្បអិតប្រាជ្ញា»។ ចចកទមនកៈ ឆ្លើយកាត់ឡើងថា«នែ
សំលាញ់ដ៏ចំរើនអើយ! ម្តេចក៏សំលាញ់យល់ថារូបខ្ញុំមិនចេះប្រតិបត្តិនាទីជាសេវកាមាត្យ? ចូរមើហះ!
៥៣ - មានរបស់អ្វីមួយ ដែលល្អ រឺមិនល្អ ទៅតាមសភាពរបស់វារឺទេ? របស់ណាគាប់ចិត្តនរជនណា របស់នោះ
ឈ្មោះថាល្អសំរាប់នរជននោះ។
៥៤ - នរជនណាៗមានសភាពលក្ខណយ៉ាងណាក៏ដោយ កាលអ្នកប្រាជ្ញទៅនៅជិត ហើយអាចញ៉ាំងនរជននោះៗ
អោយនៅក្នុងអំណាចនៃខ្លួនបានដោយឆាប់រួសរាន់។
៥៥ - កាលបើព្រះរាជាជាម្ចាស់សួរថា «អ្នកណានៅទីនេះ?» ដូច្នេះសេវកាមាត្យឆ្លើយថា«ទូលព្រះបង្គំជាខ្ញុំព្រះករុ
ណាថ្លៃវិសេស រង់ចាំទទួលព្រះរាជបញ្ជា» ដូច្នេះហើយ សេវកាមាត្យនោះត្រូវចាត់ចែងការនោះដោយប្រពៃ និង
ត្រូវធ្វើតាមព្រះរាជ អាជ្ញាអោយពិតប្រាកដតាមសក្តិខ្លួន ទាល់តែសំរេចតាមសេចក្តីប្រាថ្នាម្ចាស់ផែនដី។
៥៦ - សេវកាមាត្យមានសេចក្តីប្រាថ្នាតិច មាននិស្ស័យម៉ឺងមាត់ មានប្រាជ្ញាដើរតាមហែហមព្រះរាជាគ្រប់កាលទាំង
ពួងដូចស្រមោលអន្ទោលតាមប្រាណ ធ្វើតាមបញ្ជាមិនរួញរា សេវកាមាត្យនោះ សមនៅក្នុងព្រះរាជដំណាក់បាន។
ចចកករដកៈ និយាយកាត់ទៀតថា «ជួនកាលម្ចាស់មិនពេញប្រទ័យនឹងអែង ក្នុងពេលដែលអែងចូលទៅគាល់ក្នុង
កាលមិនគួរ»។ ចចកទមនកៈឆ្លើយថា«ពិតមែនហើយ តែបើទុកជាដូច្នេះក៏ដោយ អ្នកបំរើត្រូវតែនៅរង់ចាំ រង់ទទួ
លមុខងារខ្លួនដោយប្រយ័ត្នប្រយែងព្រោះថា៖
៥៧ - ការមិនហ៊ានប្រារព្ធធ្វើអ្វី ព្រោះភ័យខ្លាចតែពីខុស នេះជាលក្ខណនៃបុរសគំរក់ នែសំលាញ់អើយ! នរណាលះ
បង់ចោលអាហារភោជនមិនហ៊ានបរិភោគ ព្រោះខ្លាចអាហារមិនរលួយ?។
៥៨ - ព្រះនរបតីតែងរាប់រកតែមនុស្សណាដែលនៅជិតផ្ទាល់ព្រះអង្គ ទោះមនុស្សនោះល្ងង់ខ្លៅក្តី ត្រកូលថោកទា
បក្តី រឺមិនបានទូន្មានខ្លួនដោយប្រពៃក្តី តាមធម្មតាព្រះរាជា ស្រ្តីភាព រឺលតាជាតិ តែងទាក់ទងព័ទ្ធព័ន្ធចំពោះតែអ្នក
ណា រឺដើមឈើណាដែលនៅជិត»។
ចចកករដកៈសួរថាៈ «នែសំលាញ់! ថាបើដូច្នោះ អែងចូលទៅគាល់ព្រះរាជា តើគិតនិយាយថាដូចម្តេច?»។ ចចក
ទមនកៈ ឆ្លើយប្រាប់ថា «ចូរអែងចាំស្តាប់រូបខ្ញុំទៅ នេះដើម្បីអោយបានដឹងថា ម្ចាស់យើងមានសេចក្តីប្រោសប្រាណ
រឺមិនប្រោសប្រាណទេ?»។ ចចកករដកៈ សួរថា «ធ្វើម្តេចអែងនឹងដឹងលក្ខណបានជាទ្រង់ប្រោសប្រាណ រឺមិនប្រោស
ប្រាណ?»។ ចចកកដកៈ ឆ្លើយបាប់ថា «ចូរអែងពិចារណាមើល៖
៥៩ - ទតព្រះនេត្រមើលមកពីចំងាយ ទ្រង់ញញឹមស្រស់ពព្រាយ ទ្រង់ចចាកអារាក សាកសួរដោយរោះរាយ សរ
សើរគុណលក្ខណៈ សូម្បីក្នុងទីកំបាំងមុខ រឺទ្រង់រំលឹកការកំសត់ដែលយើងពេញចិត្ត
៦០ - ទ្រង់ប្រោសប្រាណ សូម្បីជនមិនមែនជាសេវកាមាត្យទ្រង់ប្រោសព្រះរាជទាន ទ្រង់ពោលប្រាស្រ័យគួរអោយ
ស្រលាញ់ពេញចិត្ត ទ្រង់រំលឹករឿងសព្វព្រះទ័យនៃជនដែលទ្រង់ប្រោសប្រាណ រឺទ្រង់សង្គ្រោះនឹកដល់គុណយើងសូ
ម្បីចំពោះរឿងដែលជាទោស។
៦១ - ទ្រង់ត្រាស់ប្រើមិនមានកាលកំណត់ ទ្រង់ពោលពាក្យសន្យារឿយៗ និងទ្រង់កំណត់ផលដែលត្រូវបាន ទាំងអ
ស់នេះ នរជនដែលមានប្រាជ្ញាអាចកំណត់ដឹងបាននូវ លក្ខណៈព្រះរាជា ដែលមានសេចក្តីប្រោសប្រាណរឺ មិនមាន
សេចក្តីប្រោសប្រាណ។
កាលបើខ្ញុំដឹងកិច្ចការនេះសព្វគ្រប់ហើយ ខ្ញុំនឹងរករឿងនិយាយដូចម្តេចអោយទាល់តែព្រះរាជាសព្វព្រះទ័យពុំខាន។
៦២ - អ្នកប្រាជ្ញទាំងឡាយតែងសំដែងប្រាប់នូវការវិបត្តិ (អន្តរាយ) ដែលកើតពីការយល់ឃើញខុសនិងសិទ្ធិ (ការសំ
រេច) ដែលកើតពីការយល់ឃើញត្រូវអោយឃើញជាក់ស្តែងនិតិវិធី បង្ហាញអោយឃើញដូចជាអ្វីមួយដែលផុសផុ
លប្រាកដឡើងក្នុងទីចំពោះមុខ»។ (ហិតោបទេស សេចក្តីប្រែជាភាសាសៀមរបស់លោកនាគប្រទីប មានគាថា
លើសដូច្នេះគឺ ទោស ត្រលប់ទៅជាគុណ គុណត្រលប់ជាទោសវិញ និងទោសនៅជាទោស គុណនៅជាគុណ ការ
មិនមានលក្ខណៈជាម្ចាស់មាន ៣ប្រការដូច្នេះ។
ចចកករដកៈ និយាយប្រាប់ថា «ប៉ុន្តែ បើកាលមិនគួរទេកុំនិយាយ ព្រោះថា៖
៦៣ - សូម្បីព្រះពរិហស្បតី កាលពោលនូវពាក្យខុសកាល ក៏បាននូវការមើលងាយប្រាជ្ញា និងការមើលងាយដទៃ
ទៀតច្រើនប្រការ។
ចចកទមនកៈឆ្លើយថា «នែមិត្រ! អែងកុំភិតភ័យអ្វី ទុកងារអោយរូបខ្ញុំចុះ ពាក្យណា ដែលមិនគួរដល់ការ រូបខ្ញុំមិន
និយាយពាក្យនោះទេ ព្រោះថា៖ (ហិតោបទេសសេចក្តីប្រែជាភាសាបារាំងរបស់លោកឡង់ សឺរូ មានគាថាលើស
ដូច្នេះ បពិតព្រះទេវបាទ! ព្រះរាជាតែងជួបប្រទះតមែនុស្សបញ្ជារឿយៗ អែ មនុស្សដែលមិនសូវជួបប្រទះនោះគឺ
មនុស្សដែលចង់និយាយ រឺចង់ស្តាប់តែសេចក្តីពិត សូម្បីរឿងមិនពេញចិត្ដ)
៦៤ - ក្នុងគ្រាអន្តរាយកើតឡើង ក្នុងការដើរវង្វេងផ្លូវ និងក្នុងគ្រាប្រកបការក្នុងកាលគួរធ្វើ ខ្ញុំបំរើដែលប្រាថ្នាប្រ
យោជន៍ សូម្បីម្ចាស់មិនសួរនាំ ក៏ត្រូវតែពោល។
ថាបើរូបខ្ញុំមិននិយាយស្នើមតិ ក្នុងកាលគួរមកដល់ហើយ នោះក៏រូបខ្ញុំមិនសមធ្វើជាមន្រ្តីដែរ ព្រោះថា៖
៦៥ - ការប្រព្រឹត្តចិញ្ចឹមជីវិត ដែលលោកសប្បុរសទាំងឡាយសរសើរនៅក្នុងលោកនេះ ដោយគុណណាគុណនោះ
បុគ្គលអ្នកមានគុណគួររក្សាទុកដោយប្រពៃផង គួរធ្វើអោយចំរើនកើនឡើងផង។
ហៃសំលាញ់! បើដូច្នេះ ចូរសំលាញ់បើកអោយរូបខ្ញុំទៅជួបបិង្គលកៈ ក្នុងកាលអិលូវនេះចុះ។ ចចកករដកៈអោយ
ពរថា «សុភមស្តុ! សូមអោយបានប្រកបដោយ សេចក្តីសុខក្សេមក្សាន្តកុំបីឃ្លាត សូមសេចក្តីប្រាថ្នាបានសំរេចផល
តាមដែលបានដៅកុំខាន»។ លំដាប់នោះចចកទមនកៈ ដើរចូលទៅកាន់សំណាក់បិង្គលកៈ។ គ្រានោះអែង បិង្គលកៈ
មើលទៅឃើញចចកទមនកៈ ដើរចូលមកពីចំងាយក៏បង្គាប់ អោយគេចូលទៅ។ ចចកដើរចូលទៅធ្វើហាក់ដូចជា
ខ្លាចណាស់ ធ្វើអាការៈញញើតញញើមបែបត្រុនៗ ដល់ហើយអោនក្រាបប្រណិប័តន៍ដោយអស្តាង្គបាត ប្រណិប័ត
ន៍ហើយអង្គុយក្នុងទីជិតដ៏គួរមួយ។ បិង្កលកចៅរ៉ៅសួរទៅថាៈ «យីអើ! អញខានឃើញមុខអែងយូរយាណាស់ហើយ
ណា៎!!»។ ចចកទមនកៈ ឆ្លើយភ្លាមថាៈ «ព្រោះព្រះទេវបាទដ៏មាសិរី មិនមានកិច្ចការអ្វី ជាប្រយោជន៏ចំពោះខ្ញុំបាទជា
សេវកាមាត្យ តែបើទុកជាដូច្នោះ ដល់កាលគួរហើយ ខ្ញុំបំរើត្រូវតែចូលមកគាល់ ហេតុនោះទើបខ្ញុំ បាទចូលមក
គាល់អិលូវនេះ ព្រោះថា៖
៦៦ - បពិតព្រះរាជា! ការងារម្ចាស់មានច្រើនណាស់ លោកតែងត្រូវការ សូម្បីស្មៅមួយទងសំរាប់ជំរះព្រះទន្ត រឺធ្វើ
ជាតំបារត្បារព្រះកាណ៌ ចាំបាច់និយាយថ្វីដល់ទៅនរជនដែលមានខ្លួនទាំងដុល ចេះនិយាយមានដៃជើងប្រាកដដូច្នេះ។
បើលោកម្ចាស់ឈ្វេងយល់ថា ខ្ញុំបាទនេះជាបុគ្គលអប្បអិតប្រាជ្ញាដូច្នោះមែន បានជាលះបង់ចោលយូរយារណាស់
ហើយ នោះគួរលោកម្ចាស់កុំឈ្វេងយល់ដូច្នេះទៀតឡើយ ព្រោះថា៖
៦៧ - នរជនមានប្រាជ្ញានឹងមានសេចក្តីប្រព្រឹត្តម៉ឺងម៉ាត់សូម្បីជនដទៃមើលងាយថាមិនបានជាការអ្វី នោះក៏បុគ្គលមិ
នគប្បីសន្ទិះសង្ស័យថា «វិនាសសាបសូន្យ» ឡើយ ភ្លើងសូម្បីបុគ្គលយកទៅដាក់ខាងេក្រាម ក្នុងកាលណាក៏ដោយ
អណ្តាតភ្លើង មិនដែលទៅក្រោមទេ តែងទៅតែខាងលើដដរាប។ ទេវៈ!សូមលោកម្ចាស់ឈ្វេងយល់ដោយវិសេ
សទៅទៀតថា៖ (ហិតោបទសេសេចក្តីប្រែជាភាសាបារាំង របស់លោកឡង់សឺរ៉ូមានគាថាលើសដូច្នេះគឺ ក. ក្នុងស
ង្គ្រាម នរជនណាអាចបាញ់ព្រួញដេរដាសព្រះធរណីដ៏ធំនេះ ដោយសេចក្តីអង់អាចដោយទ្រង់ទ្រាយឆើត និងដោយ
ការចេះជ្រាលជ្រៅ នរជននោះកាលនៅជិតព្រះរាជា ក៏ត្រូវនិយាយដោយញញើតញញើម ដោយសេចក្តីខ្លាចព្រះ
ចេស្តានៅចំពោះព្រះភក្រ្ត ត្រូវគារវៈបែបនេះដរាប។ ខ. នៅចំពោះព្រះភក្រ្តព្រះរាជានៅកណ្តាលប្រជុំ ពាលនិង
នៅក្នុងទីប្រជុំ ស្រ្តីផ្កាមាស សូម្បីនរជនមានថ្វីមាត់ ក៏មានចិត្តខ្លបខ្លាចក្លាយទៅជាត្រិនត្រុនទីមទាម។ តាមលក្ខណ
សម្បត្តិនៃបុគ្គលមិនចេញ មកអោយឃើញប្រាកដអែងទេ ដូចទឹកអប់សូរិកា គេមិនអាចរកបានដោយផ្លូវងាយស្រួ
លទេ។ )
៦៨ - កែវមណី គេយកទៅប្រដាប់ជើង កពា្ចក់គេយកទៅប្រដាប់លើសិរសា បើទុកជាដូច្នេះ របស់ណាដូចម្តេច
របស់នោះនៅតែដូច្នោះដដែល គឺកពា្ចក់នៅតែកពា្ចក់ កែវមណីនៅតែជាកែវមណី។
៦៩ - កាលណាព្រះរាជាទ្រង់រាប់អាននរជនទាំងពួងស្មើភាគគ្នាមិនអោយមានវិសេសប្លែកគ្នា អុស្សាហៈនៃជនមាន
សមត្ថភាពប្រឹងប្រែងធ្វើការងារ នឹងសាបចុះអោនថយទៅ។
៧០ - បពិតព្រះរាជា! បុរសមាន ៣ជាន់ គឺបុរសអុត្តម បុរសទាបថោក និងមធ្យម ទ្រង់គប្បីចាត់ចែងអោយធ្វើការ
ងារទៅតាមជាន់ទាំង៣នេះអែង។
៧១ - សេវកាមាត្យដូចគ្នានឹងគ្រឿងអាករណៈ ត្រូវទុកដាក់អោយសមតាមឋានៈ ដូចកែវមណីសំរាប់រំលេចមកុដ
មិនត្រូវយកទៅដាំកងជើង រឺពុំនោះកងជើងមិនត្រូវយកទៅប្រដាប់សិសាឡើយ។
៧២ - កែវមណី គួរយកទៅប្រដាប់គ្រឿងអាករណៈ ជាវិការៈនៃសំណកែវមណីនោះ មិនមានពន្លឺប្រុះឆ្លុះច្រវាត់ផង
មិនល្អរុងរឿងផង តែការនេះជាកំហុសជាងមាសដោយឡែកទេ។
៧៣ - លើកកពា្ចក់យកទៅបណ្តុបលើកំពូលមកុដ សំរុតកែវមណីយកទៅប្រដាប់កងជើងវិញ នេះជាទោសនៃកែវ
មណីក៏អិតអង្គឺមាន ជាទោសនៃជាងមាសល្ងង់មិនចេះប្រើ មិនស្គាល់តំលៃទេតើ!។
៧៤ - ព្រះនរបតីដែលទ្រង់ឈ្វេងយល់ ស្គាល់សេវកាមាត្យថា «អ្នកនេះ មានប្រាជ្ញាមានភក្តី អ្នកនោះមានសេចក្តី
ក្លៀវក្លាហាន រឺប្រកបព្រមដោយលក្ខណៈពីរប្រការនោះ តែងបរិបូណ៌ដោយសេវកាមាត្យទាំងឡាយ។
៧៥ - សេះ សស្រ្តាវុធ សាស្រ្តវិជ្ជា ពិណ សុន្ទកថ នរជន និងនារីវិសេស រឺមិនវិសេសប្រើបានល្អ រឺមិនបានល្អ ស្រេច
ហើយតែវិធីនៃម្ចាស់អ្នកប្រើអ្នកបង្គាប់បញ្ជាទេ។
៧៦ - មានប្រយោជន៍អ្វីដោយជនភក្តី តែមិនមានសមត្ថភាព មានប្រយោជន៍អ្វី ដោយជនអង់អាច តែមិនធ្វើអ្វីអោ
យកើតប្រយោជន៍ បពិតព្រះរាជា ទ្រង់មិនគួរមើលងាយទូលព្រះបង្គំជាខ្ញុំ ដែលមានភក្តីផង មានសេចក្តីអង់អាច
ផងដូច្នេះទេ។
៧៧ - បើទ្រង់មើលងាយអ្នកចេះដឹង ទ្រង់មានតែជនអប្បអិតប្រាជ្ញាបរិវារតទៅ ដោយអាស្រ័យហេតុនេះ ទ្រង់នឹង
មិនមានជនជាអ្នកប្រាជ្ញនៅក្បែរព្រះអង្គឡើយ ព្រោះមិនស្គាល់និតិវិធីនេះអែង កាលបើរាជ្យណា លះបង់សេវកា
មាត្យជាអ្នកប្រាជ្ញហើយ រាជ្យនោះនឹងមិនមានផ្លូវនយោបាយល្អទេ បើវិបត្តិនយោបាយល្អហើយ ប្រទេសជាតិទាំង
មូល នឹងកប់លិច រឺវិនាសបាត់ចេញពីក្នុងផែនទីលោកនេះអិតសង្ស័យឡើយ។
៧៨ - អ្នកនគរ គោរពអស់កាលជានិច្ច ចំពោះជនណាដែលព្រះនរបតីលើកដំកើង ជនណាដែលព្រះនរបតីមើលងា
យហើយ ជននោះក៏ត្រូវអ្នកនរគរទាំងអស់មើលងាយតាមដែរ។
៧៩ - ពាក្យដែលត្រឹមត្រូវ គួរដល់ការងារ សូម្បីជាសំដីកូនក្មេង អ្នកមានប្រាជ្ញាគួរកាន់យក បើមិនមានពន្លឺព្រះអាទិ
ត្យទេ ពន្លឺប្រទីប នឹងមិនមានគុណប្រយោជន៏ រឺអ្វី?
បិង្គលកៈនិយាយតបថា «នែទមនកៈដ៏ចំរើនអើយ! អែងនិយាយអ្វីដូច្នោះ អែងជាកូននៃប្រធានអាមាត្យរបស់យើង
ប្រហែលជាដោយពាក្យទ្រគោះបោកបោះបន្តិចបន្តួចរឺអ្វី បានជាអែងមិនចូលមករកយើងអស់កាលយូរយារដល់
ម្លេះ? បើដូច្នោះចូរអែងនិយាយដោយសេរីមកចុះ មានរឿងអ្វីខ្លះ?»។ ចចកទមនកៈនិយាយតបទៅទៀតថា «បពិត
លោកជាស្តេចម្រឹគ! ខ្ញុំបាទសូមទានអោកាសជំរាបសួររឿងបន្តិច សូមលោកម្ចាស់មេត្តានិយាយប្រាប់ដំណើរសេច
ក្តី តាមខ្ញុំបាទដឹងថា លោកម្ចាស់ ត្រូវការទឹក លោកម្ចាស់អញ្ជីញទៅហើយមិនទាន់បានក្រេបផឹកបំបាត់សេចក្តីស្រេ
កឃ្លានផង ក៏ស្រាប់តែវិលត្រលប់មកនៅស្ងៀមវិញ ហាក់ដូចជាមានហេតុភេទអ្វីមួយ មុខគួរអោយតក់ស្លុតរន្ធត់
ព្រះទ័យណាស់? បិង្គលកៈនិយាយប្រាប់ថា «អើ! អែងមានវិចារណញ្ញាណល្អហើយ តែយើងមិនមានអ្នកណាជាទំនុ
កចិត្ត នឹងប្រាប់អាថិកំបាំងនេះបាន មានតែអែង បើដូច្នោះ យើងនឹងបកអាថិកំបាំងប្រាប់អែងក្នុងកាលអិលូវនេះ អែ
ងចាំស្តាប់ដូចសេចក្តីតទៅនេះចុះ។ អិលូវនេះ ព្រៃនេះមានសត្វអ្វី ប្លែកមួយមកនៅត្រួតត្រា យើងគួរភៀសខ្លួនគេ
ចចេញពីទីនេះទៅ នោះហើយជាហេតុការណ៍នាំអោយអញភ័យខ្លាច អញបានលឺសំលេងវាចំលែកអស្ចារ្យ បើតា
មប្រមាណមើលសំរែកវាលឺខ្លាំងដូច្នេះនេះ គង់រូបរាងវាធំមាំមួនមានកំលាំងខ្លាំងមហិមា ទើបបានជាលឺខ្លាំងដល់
ម្ល៉ោះ»។ ចចកទមនកៈនិយាយឡើងថា«ទេវៈ ! នេះក៏ជាហេតុការណ៍នាំអោយភ័យធំពិត សំលេងនោះ ខ្ញុំបាទក៏បាន
លឺដែរ តែខ្ញុំបាទឆ្ងល់ណាស់ អ្នកណាដែលមកជំរាបលោកម្ចាស់ថាអោយលះបង់ព្រះរាជអាណាចក្រ ហើយសឹម
ធ្វើសង្រ្គាមដណ្តើមយកព្រះរាជអាណាចក្រជាខាងក្រោយវិញ អ្នកនោះសមធ្វើជាមន្រ្តីជាទីប្រឹក្សារឺទេ? មួយទៀត
ក្នុងការដែលមានអាសន្នក្រនេះ លោកម្ចាស់គប្បីឈ្វេងយល់ការងារសេវកាមាត្យបាន ព្រោះថា។
៨០ - គ្រាវិបត្ត នរជនត្រូវស្គាស់ខ្លឹមសារប្រាជ្ញានៃពួកញាតិសន្តាន ភរិយា និងសេវកាមាត្យ ព្រមទាំងសត្តនិករ និង
ខ្លួនអែងអោយដូចជាថ្មសំរាប់ពិសោធន៍មើលមាសលុទ្ធ
បិង្គលកៈនិយាយបព្ជាក់ថាៈ «នែសំលាញ់ដ៏ចំរើន! សេចក្តីភ័យនេះ នាំអោយអញទុញទាល់គំនិត គិតអ្វីមិនឃើញ
ទេ»។ ចចកទមនកៈនឹកក្នុងពោះថាៈ «បើម្លឹងតើ ម្តេចឡើយនឹងមិនហ៊ាននិយាយប្រាប់អាត្មាអញអំពីការលះបង់រា
ជ្យហើយគិតទៅនៅទីដទៃ» ទើបប្រកាសលឺខ្លាំងៗទៅសីហៈថាៈ «ទេវ! សូមលោកម្ចាស់តាំងព្រះទ័យអោយក្សេម
ក្សាន្តចុះ ដរាបណាខ្ញុំបានមានជីវិតរស់នៅដរាបនោះលោកម្ចាស់កុំភ័យក្លាចអោយសោះ តែលោកម្ចាស់ប្រោស
មេត្តារក្សាទឹកចិត្តចចកករដកៈ និងសត្វអែទៀតជាបរិវារផង ក្នុងគ្រាក្រធ្វើម្តេចនឹងប្រមូលរេហ៍ពលជាបុគ្គលរក
បានក្រអោយបានច្រើនសំរាប់ជួយការពារ?»។ លំដាប់នោះចចកទាំងពីរទមនកៈ និងករដកៈ បានទទួលកិត្តិយសដ៏ខ្ពង់
ខ្ពស់អំពីបិង្គលកៈ ហើយប្តេជ្ញានឹងការពារភ័យអន្តរាយទាំងពួងអោយ ហើយទើបបបួលគ្នាដើរចេញទៅ។ ចចក
ករដកៈ ដើរបណ្តើរនិយាយបណ្តើរទៅកាន់ចចកទមនកៈថា «នែសំលាញ់! ហេតុនៃភ័យនេះយើងមិនអាចដឹងថា
យើងអាចការពារបាន រឺមិនបាននៅឡើយទេ ហើយយើងបានប្តេជ្ញាជាដាច់ខាតរួចមុនទៅហើយថា នឹងរំងាប់ភ័យ
នោះអោយទាល់តែសំរេចបាន ទាំងទទួលមហាប្រសាទស្រេចហើយផង មិនមែនរឺ? យើងមិនត្រូវទទួលយកអាសា
ចំពោះនរណាសោះ ដោយវិសេសចំពោះម្ចាស់យើង ថាបើយើងមិនអាចជួយបាន ព្រោះថា
៨១ - ទ្រព្យសម្បត្តិ មាននៅក្នុងសេចក្តីជ្រះថ្លានៃអ្នកណា ជ័យជំនះមាននៅក្នុងសេចក្តីព្យាយាមប្រឹងប្រែងនៃអ្នក
ណា មរិត្យុឋិតនៅក្នុងសេចក្តីក្រោធនៃអ្នកណា សេចក្តីពិត អ្នកនោះៗ ឈ្មោះថាប្រកបហើយដោយតេជានុភាព
ទាំងពួង។
៨២ ព្រះភូមិបាលសូម្បីតាំងនៅក្នុងយោព្វនវ័យ (រឺពាលល្ងង់ខ្លៅ?) បុគ្គលមិនគប្បី មើលងាយព្រះចេស្តាទុកជាមនុ
ស្សធម្មតាទេ ព្រោះថា ព្រះរាជាជាទេពតាមានសក្តិធំ មកប្រាកដព្រះអង្គជាកាយមនុស្ស។
ចចកទមនកៈ បានស្តាប់សំដីចចកករដកៈ និយាយហើយអស់សំណើចសើកឃឹកៗ ទើបនិយាយថា «នែមិត្ត! ចូរអែ
ងនៅអោយស្ងៀមទៅកុំមាត់កថ្វី ហេតុដែលនាំអោយម្ចាស់យើងភ័យនោះ អញដឹងអស់ហើយ មិនគឺសំលេងអ្វីដ
ទៃផ្សេងទេ គឺជាសំរែកគោអុសករោទិ៍នោះអែង អែគោអុសកត្រូវជាចំណីអាហារយើងផង ចាំបាច់ និយាយដល់
ទៅសិហៈធ្វើអ្វី»។ ចចកករដកៈ និយាយទទួលថា «អា៎! អ្វីដូច្នោះទេហះ? បើដូច្នោះ ហេតុអ្វីក៏អែងមិនកំចាត់បង់សេ
ចក្តីតក់ស្លុតម្ចាស់យើងអោយទាន់ភ្លាមទៅ?»។ ចចកទមនកៈឆ្លើយដោយអាកបន្ទោសប្រាប់ថា «បើយើងដោះស្រា
យម្ចាស់យើងភ្លាមទៅ ដូចម្តេចឡើយយើងនឹងត្រូវបានសេចក្តីគាប់ចិត្តនិងលាភសក្ការៈច្រើនថែមទៀត ព្រោះថា៖
៨៣ ក្នុងកាលណាក៏ដោយ បុគ្គលមិនគប្បីធ្វើអោយម្ចាស់លែងពឹងពាក់សេវកាមាត្យទេ បើសេវកាមាត្យធ្វើអោ
យម្ចាស់លែងពឹងពាក់ហើយនឹងដល់សេចក្តីវិនាស ដូចឆ្មាឈ្មោះទធិកណៈ។ ចចកករដកៈសួរឡើងថា «តើរឿងនោះ
ដូចម្តេច?» ។ ចចក ទមនកៈនិយាយរឿងរ៉ាវនោះប្រាប់ថា៖។
កថាទី៤
រឿងសីហៈនិងឆ្មា
នៅក្នុងព្រៃអុត្តរាបថ មានសីហៈមួយឈ្មោះទុទ៌ាន្តៈ ជាសត្វមានសេចក្តីព្យាយាមធំ អាស្រ័យនៅក្នុងភ្នំមួយឈ្មោះ
អពុទសិខរៈ។ មានកណ្តុរមួយ វារចូលទៅកាត់ចុងកេសរនៃសីហៈនោះរៀងរាល់ៗថ្ងៃ ក្នុងពេលដែលសីហៈកំពុងដេ
កលក់ក្នុងញកភ្នំ។ កាលភ្ញាក់ពីដេកឡើងសីហៈឃើញចុងកេសរខ្លួនរេចរិលក្បិលដូច្នោះ ក្តៅក្រហាយនឹកគ្នាន់ក្នាញ់
នឹងកណ្តុរនោះណាស់ ខំព្យាយាមលោតសង្រ្គុបចាប់រឿយៗ តែកណ្តុរលោតរត់ចូលក្នុងព្រង់បាត់ចាប់មិនបានសោះ
សីហៈគិតថា៖
៨៤ - បើសត្រូវតូច បុគ្គលមិនគប្បីចាប់បានដោយព្យាយាមក្លៀវក្លាទេ ដើម្បីផ្ចាញ់សត្រូវនោះ បុគ្គលគប្បីរកសែ
ន្យានុភាព ដែលមានកំលាំងប៉ុនគ្នាមកកំរាបទើបសំរេចបាន។ លុះគិតរកអុបាយឃើញដូច្នេះហើយ សីហៈក៏ចូលទៅ
ក្នុងស្រុក ធ្វើសេចក្តីសិទ្ធស្នាលជាមួយនឹងឆ្មាមួយឈ្មោះ ទធិកណៈ ល្បួងលួងលោមឆ្មានោះយកមកថ្នាក់ថ្នមរកចំ
ណីសុទ្ធសាច់អោយជាអាហារ ចិញ្ចឹមទុកនៅក្នុងញកភ្នំជាមួយខ្លួន។ លំដាប់នោះរីកណ្តុរកាលឃើញឆ្មាមកនៅជាមួ
យសីហៈដូច្នោះហើយ មិនហ៊ានចេញពីព្រង់ខ្លួនសោះ។ តាំងពីលកាលនោះមកសីហៈមានកេសរលូតលស់ល្អដូចប្រ
ក្រតីដើមវិញ ហើយដេកលក់ស្កប់ស្កល់ជាសុខសប្បាយក្សេមក្សាន្តរៀងមក។ កាលណាបើសីហៈលឺសំលេងកណ្តុរ
ច្រើនរឿយៗ កាលនោះ ទើបសីហៈខ្នះខ្នែងរកចំណីអាហារសុទ្ធតែសាច់ល្អយកមកបំប៉នឆ្មានោះយ៉ាងច្រើន។ ដល់
មកថ្ងៃមួយ កណ្តុរមានក្តីស្រេកឃ្លានខ្លាំងពេកទ្រាំមិនបាន ចេញមកខាងក្រៅត្រូវឆ្មានោះខាំសំលាប់ចោល បង់
សៀតទៅ។ តមក ដរាបណាសីហៈមិនបានប្រទះឃើញកណ្តុរអស់កាលយូរ មិនដែលលឺសំលេងកណ្តុនោះសោះ
ដរាបនោះ សីហៈមិនសូវត្រូវការប្រើឆ្មា មិនរវល់អើពើនឹកនា និងអោយចំណីអាហារឆ្មាឡើយ។ អែឆ្មាទធិកណៈកា
លមិនមានអាហារគ្រប់គ្រាន់ ក៏ស្គាំងស្គមថមថយកំលាំងបន្តិចម្តងៗ ដរាបដល់បព្ចាទ្វ័ម(ស្លាប់)ទៅហោង។ ហេតុ
នោះហើយបានជាខ្ញុំ(ចចកទមនកៈ) និយាយថា «ក្នុងកាលណាក៏ដោយ» ដូច្នេះជាដើម(លេខ ៨៣)។
លំដាប់នោះ ចចកទមនកៈ និងករដកៈ ទាំងពីរដើរចូលទៅរកគោសពា្ជវីកៈ។ លុះទៅជិតហើយចចកករដកៈអង្គុយ
ព្រងើយនៅទៀបគល់ឈើមួយ ចចកទមនកៈ ចូលទៅកាន់គោសញ្ជីវកៈ ហើយស្រែកកំហែងខ្លាំងៗថា «នែអាគោ
អុសកចង្រៃ! អែងមកពីណាមិនដឹងទេរឺអ្វី ព្រៃនេះស្តេចម្ចាស់អញឈ្មោះបិង្គលកៈ អោយអញថែរក្សា? អីលូវនេះ
លោកសេនាបតីករដកៈបង្គាប់អញអោយមកប្រាប់ថាអោយអែងចូល ទៅរកលោកឆាប់ៗ បើអែងមិនព្រមចូល
ទៅទេ ចូរចៀសចេញពីព្រៃនេះអោយឆ្ងាយទៅ បើអែងរឹងទទឹងមិនព្រមស្តាប់ នឹងត្រូវទោសកំហុសដល់ក្តីស្លាប់មិ
នខាន អែងមិនដែលលឺទេរឺអី្វ ម្ចាស់យើងបើក្រោធហើយនឹងប្រើវិធីក្តៅក្រហាយណាស់។ គោសញ្ជីវកៈ ស្តាប់ពា
ក្យចចកទមនកៈហើយ ក៏ចូលទៅរកសេនាបតីករដកៈនោះ ជាមួយចចកទមនកៈ។
៨៥ - កិរិយាមិនធ្វើតាមអាជ្ញាព្រះនរេន្រ្ទ កិរិយាមិនអើពើចំពោះព្រាហ្មណ៍ និងកិរិយាទាំងអស់នេះឈ្មោះថាស្លាប់
មិនបាច់ប្រហារដោយសស្រ្តាវុធឡើយ។
គោសញ្ជីវក មិនស្គាល់ទំនៀមប្រទេស ដើរញញាក់ញញ័រចូលទៅជិតដោយភ័យខ្លាច ក្រាបប្រណម្យសេនាបតីករ
ដកៈដោយអស្តាង្គបាត ព្រោះថា៖
៨៦ - ប្រាជ្ញាប្រសើរខ្ពស់ជាងកំលាំង ការអប្បអិតប្រាជ្ញានាំអោយធ្លាក់ខ្លួនថោកទាបដូចដំរី តែការពោលដូច្នេះ ដូច
ហ្មរដំរីវាយស្គរឃោសនាអោយលាន់លឺជិតត្រចៀកដំរីទេ។
គ្រានោះគោសញ្ជីវកៈជំរាបសួរចចកករដកៈ ដោយក្តីខ្លបខ្លាចថា «បពិតលោកសេនាបតី! មេត្តាប្រោសប្រាប់ខ្ញុំបាទ
តើខ្ញុំបាទមានទោសខុសអ្វី? ត្រូវធ្វើដូចម្តេច?»។ ចចកករដកៈប្រាប់ថា៖ «នែគោអុសកៈ! បើអែងចង់អាស្រ័យនៅក្នុ
ងព្រៃនេះតទៅទៀត អែងត្រូវចូលទៅក្រាបប្រណម្យទេវបាទជាម្ចាស់យើងសុំនៅទីនេះទើបបាន» គោសញ្ជីវកៈ
អង្វករថា «បើលោករ៉ាប់រងធានាការពារខ្ញុំមិនអោយមានភ័យ ទើបខ្ញុំបាទទៅ»។ ចចកករដកៈឆ្លើយប្រាប់ថាៈ «យីអា
ចង្រៃពលិព័ទ្ធ! ម្តេចអែងមិនជឿអញ មិនអីទេកុំភិតភ័យខ្លាចអ្វី ព្រោះថា៖
៨៧ - ព្រះកេសវៈមិនបានពោលពាក្យតប កាលព្រះរាជានៃប្រទេស (ព្រះរាជាអង្គនេះព្រះនាមសិសុបាលជាស្តេច
ក្រុងចេទិ មានអគ្គមហេសីមួយអង្គនាមនាងរុក្មីនី។ ក្រិស្ណៈលបលួចយកនាងរុក្មីនីជាអគ្គមហេសីព្រះអង្គ ក៏កើតជា
ចំបាំងរវាងក្រិស្ណៈនិងព្រះបាទសិសុបាលឡើងកាលនោះព្រះបាទសិសុបាលដាក់សំបថព្រះកេសវៈគឺព្រះអីសូរ) ចេទិ
ទ្រង់ដាក់បណ្តាសាសីហកេសរី រមែងបញ្ចេញសីហនាទ តនឹងអសនីបាត តែមិនដែលឆ្លើយតបសំលេងចចកឡើយ។
៨៨ - ព្រះពាយ មិនរំលើងរិសគល់ស្មៅទាំងឡាយ ដែលទាបៗហើយទន់ទោរអោនក្រាបស្រពាបទៅតាមខ្យល់ស
ព្វកាល តែរមែងរំលើង រិសគល់ដើមឈើធំខ្ពស់ៗ រីអ្នកធំហៅហ៊ាន រមែងបំបាក់បំបបចំពោះអ្នកធំហៅហ៊ានដូចគ្នា។
កាលនោះ ចចកទាំងពីរបណ្តើរគោសញ្ជីវកៈទៅ បង្គាប់គោអោយឈរនៅខាងក្រៅ ក្នុងទីមួយមិនឆ្ងាយប៉ុន្មាន ទើប
ចូលទៅកាន់សំណាក់បិង្គលកៈ ក្រាបថ្វាយបង្គំហើយអង្គុយក្នុងទីគួរមួយ។ បិង្គលកៈក្រលេកមើលឃើញចចកទាំង
ពីរនោះមកដល់ ត្រេកអររីករាយណាស់ទទួលរាក់ទាក់ដោយអាការគួរសមក្រៃងលែង ហើយសួរទៅភ្លាមថា «ម្តេច
ទៅ! អែងឃើញអាសត្វនោះរឺទេ?»។ ចចកទមនកៈ ជំរាបថា «បពិត ព្រះទេវបាទ! អាសត្វចង្រៃនោះ យើងខ្ញុំឃើញ
ហើយ សត្វនោះស្លូតបូតទេ តែធាត់ធំមាំមួនមានកម្លាំងខ្លាំងណាស់ ដូចលោកម្ចាស់ឈ្វេងយល់ប្រាកដ អិលូវនេះវា
ចង់ចូលមកក្រាបបង្គំគាល់ផ្ទាល់ខ្លួន សូមលោកម្ចាស់រៀបចំរង់ចាំទទួល។ សព្វបើលឺ សំលេងខ្លាំងប៉ុណ្ណោះលោក
ម្ចាស់ពុំគួរគប្បីភ័យខ្លាចទេ ព្រាះថា៖
៨៩ - សព្វបើសំលេងខ្លាំង បើមិនទាន់ដឹងហេតុការណ៍នៃសំលេងនោះទេ បុគ្គលមិនគួរគប្បីភ័យខ្លាចឡើយ ស្រ្តី
មេអណ្តើកមា្នក់ គ្រាន់តែដឹងច្បាស់នូវហេតុសំលេងប៉ុណ្ណោះបានទៅជាស្រ្តីដែលគេគួរគោរព»។ (ហិតោបទេស
សេចក្តីប្រែ ភាសាបារាំង នៃលោកឡង់សឺរ៉ូ និងភាសាសៀមនៃលោកនាគប្រទីបមានគាថាលើសដូច្នេះគឺ ទឹកហូរ
ទំលាយស្ពានបាន ការមិនចេះរក្សាការសំងាត់ ទំលាយការកំបាំងបាន ពាក្យញុះញុងទំលាយមិត្រភាពបាន សំរែកខ្លាំង
ទំលាយជនកំលាចបាន )
បិង្គលកៈ សួរថាៈ «រឿងនោះតើដូចម្តេច?»។ ចចកទមនកៈរៀបរាប់រឿងនោះថា៖
ថាទី៥
រឿងស្រ្តីពេស្យានិងគង
នៅកណ្តាលភ្នំស្រីបព៌ត មាននរគរមួយឈ្មោះព្រហ្មបូរៈ។ អ្នកផងទាំងពួងតែងលឺជនប្រវាទ(ពាក្យផ្តេសផ្តាស ពាក្យ
ចចាមអារ៉ាម) ថា នៅលើភ្នំនោះ មានអារក្សមួយឈ្មោះឃណ្ឌាកណ៌ៈអាស្រ័យនៅ។ ថ្ងៃមួយមានចោរម្នាក់ចូល
មកលបលួចយកគងអ្នកស្រុកបានមួយ ហើយរត់គេចវេះ ភៀសខ្លួនចូលទៅពួនក្នុងព្រៃភ្នំ ប្រទះនឹងខ្លាមួយ ត្រូវខ្លា
នោះសង្រ្គប់ចាប់ហែកជញ្ជែងស៊ីដល់ក្តីមរណៈទៅ។ អែគងនោះបានទៅក្នុងកណ្តាប់ដៃស្វាទាំងឡាយ។ ពួកពានរបា
នគងហើយ វាយពាតលោតលេងលាន់លឺមោងម៉ាងៗ បរព្រៃរំពងទួទៅរឿយៗ។ អែចោរលួចគងនោះអ្នកស្រុកបា
នដឹងលឺប្រាកដថា ខ្លាខាំហែកស៊ីស្លាប់ទៅហើយ ក៏នឹកឆ្ងល់គ្រប់គ្នាថាហេតុដូចម្តេចក៏នៅតែលឺសូរសំលេងគងមោង
ម៉ាងៗរឿយៗដូច្នេះទៀត។ ដោយការមិនដឹងហេតុនៃសំលេងគងនោះ ប្រជាជនភិតភ័យខ្លាច នឹកស្មានតែផ្តេសផ្តា
សថា «ប្រហែលជាអារក្សកំណាចចង្រៃចាប់មនុស្សស៊ីជាអាហារ ហើយវាយពាតគងលេង» ក៏បបួលគីគ្នារត់ចេញ
ពីក្រុងអស់រលីង។ កាលនោះមានស្រ្តីពេស្យាម្នាក់ឈ្មោះនាង ករាលា ខំត្រិះរិះពិចារណារាវរកហេតុនៃសំលេងគង
ដ៏ប្លែកនោះ រហូតទាល់តែដឹងហេតុប្រាកដថា ពួកពានរបានគងនោះពីចោរដែលខ្លាខាំស៊ី យកទៅវាយពាតលោត
លេងជាល្បែង។ នាងករាលា ក៏ចូលទៅក្រាបបង្គំគាល់ព្រះនបតី យកសេចក្តីថ្វាយព្រះយោបល់ថាៈ ទេវ! បើទ្រង់
ព្រះករុណាប្រទានរង្វន់ខាន់ខៅច្រើនដល់នាងខ្ញុំម្ចាស់ នាងខ្ញុំម្ចាស់ធានានឹងទៅសម្លាប់អារក្សឃណ្ឌាកណ៌ៈអោយបា
ន។ ព្រះរាជាទ្រង់ព្រះសណ្តាប់ពាក្យនាងពិតទូលហើយ មានព្រះទ័យ រីករាយសប្បាយណាស់ ប្រទានទ្រព្យសម្បត្តិ
តាមនាងត្រូវការ។ នាងពេស្យាចាត់ចែងមណ្ឌលពិធីបួងសួង គោរពចំពោះព្រះគណេស និងទពោ្តទាំងឡាយ ហើយ
ទើបយកផ្លែឈើទាំងឡាយដែលស្វាតែងចូលចិត្តចូលទៅក្នុងព្រៃ ចោលផ្លែឈើនោះរាត់ រាយរដូករណែលលើ
ផែនដី។ កាលនោះ រីបងពានរទាំងឡាយ កាលក្រលេកឃើញផ្លែឈើក៏ចោលគងពីដៃ ស្ទុះទៅរើសយក។ នាងពេ
ស្យារើសយកគងបានហើយត្រលប់ចូលមកក្រុងវិញ បានជាទីគោរពសក្ការបូជានៃប្រជាទាំងមូលតាំងពីកាលនោះ
មក។ ហេតុនោះទើបបានជាខ្ញុំបាទ(ចចកទមនកៈ) ជំរាបថាៈ «សព្វបើលឺសំលេងខ្លាំង» ដូច្នេះជាដើម(លេខ ៨៩)។
លំដាប់នោះ ចចកទាំងពីរ នាំគោសញ្ជីវកៈមកប្រគល់បិង្គលកៈ។ ក្នុងកាលតមក មិនយូរប៉ុន្មានគោសញ្ជីវក និងបិង្គ
លកៈរាប់អានគ្នាទៅវិញទៅមកជាមិត្តសិទ្ធស្នេហាយ៉ាងជិតរហូតអស់កាលយូរ។ ថ្ងៃមួយមានសីហៈមួយទៀត
ឈ្មោះស្តព្ធកណ ត្រូវជាបងបង្កើតនៃបិង្គលកៈ មកជួបលេងសប្បាយ។ បិង្គលកៈមានភារៈត្រូវទទួលភ្ញៀវរៀបដំ
ណើរចរចេញទៅព្រៃដើម្បីស្វះស្វែងរកចាប់ម្រឹគមកធ្វើជាចំណីអាហារលៀងភ្ញៀវ។ ក្នុងសំដាប់នោះអែង គោស
ញ្ជីវកៈសួរទៅថាៈ «ទេវ! ថ្ងៃនេះយើងបានសាច់ម្រឹគស្លាប់មកពីណា?។ បិង្គលកៈឆ្លើយថា «ចចកករដកៈ និងទមន
កៈដឹងរឿងហើយ»។ គោសញ្ជីវកៈនិយាយថាៈ «ត្រូវតែមើលអោយដឹងថាសាច់នោះនៅមាន រឺមួយក៏អស់រលីងហើ
យ»។ បិង្គលកៈពិនិត្យរួចហើយ ឆ្លើយប្រាប់មកវិញថា «សាច់នោះ គេស៊ីអស់រលីងហើយ»។ គោសញ្ជីវកៈពោលឡើ
ងទៀតថា «ក្រាបទូល ចចកទាំងពីរនេះ ម្តេចក៏ហ៊ានស៊ីសាច់ទាំងដុលអស់រលីងហ្ន៎!»។ បិង្គលកៈនិយាយបន្ទោសថា
«អើ! គេស៊ីខ្លួនគេខ្លះផងចែកអោយទៅអ្នកដទៃខ្លះផង ខ្ជះខ្ជាយចោលខ្លះផងទៅណា៎! គេធ្វើតែយ៉ាងហ្នឹងអែងរាល់
តែថ្ងៃ»។ គោសញ្ជីវកពោលថា «ដូចម្តេចក៏ហ៊ាន ធ្វើតាមទំនើងចិត្តខ្លួនអែង ដោយមិនបានទទួលសេចក្តីអនុញ្ញាតពី
លោកទេវបាទសោះ?»។ បិង្គលកៈនិយាយតទៅទៀតថា «គេធ្វើយ៉ាងនេះអែងអិតកោតក្រែងរអែងចិត្តយើងទេ
»។ កាលនោះគោសញ្ជីវកៈនិយាយថា «ធ្វើដូច្នេះ មិនគួរសមសោះ» ព្រោះថា៖
៩០ - សេវកាមាត្យ បើមិនទាន់ប្រាប់ម្ចាស់អោយដឹងមុន មិនត្រូវធ្វើអ្វីតាមទំនើងខ្លួនឡើយ លើកលែងតែកិច្ចការ
ដែលត្រូវការពារម្ចាស់។
៩១ -អាមាត្យគួរមានលក្ខណៈប្រៀបដូចក្អមតាបសរិស្សី វេលាចាក់ចេញតិច វេលាដងបានច្រើន បពិតព្រះនរបតី!
អ្នកពោលថាធ្វើអ្វីកើតមួយខណៈ ជាមនុស្សល្ងង់ខ្លៅ ធ្វើអ្វីកើតមានប្រាក់បន្តិចជាមនុស្សក្រីក្រ។
៩២ - នរជនណា កពូនទ្រព្យសម្បត្តិ សូម្បីមួយកាកណិកសំរាប់ព្រះរាជាគ្រប់ៗកាល នរជននោះទើបជាអាមាត្យពិ
តមែន ព្រោះឃ្លាំងជាជីវិតនៃស្តេច ជីវិតគឺការរស់នៅមិនមែនជាជីវិតនៃស្តេចទេ។
៩៣ -បុរសខ្សត់ទ្រព្យ បើទុកជាប្រព្រឹត្តតាមគន្លងធម៌នៃត្រកូល ក៏មិនជាទីសេពគប់នៃជនដទៃទេ សូម្បីប្រពន្ធខ្លួន
ក៏លះបង់ខ្លួនចោលដែរ ចាំបាច់និយាយថ្វីដល់ជនដទៃ អំពើតទៅនេះ ជាប្រធានសេចក្តីអន្តរាយនៃរាជសម្បត្តិ៖
៩៤ - ការចាយវាយហួសប្រមាណ ការពិនិត្យត្រួតត្រាមិនដិតដល់ ការបានទ្រព្យខុសគន្លងធម៌ នឹងចាយខ្ជះខ្ជាយនៃអ្ន
កនៅឋានឆ្ងាយ ទាំងអស់នេះលោកពោលថា «ការវិនាសនៃឃ្លាំង»។
៩៥ - បុគ្គលមិនពិចារណាមើលទ្រព្យដែលត្រូវរកបាន ចាយវាយរផាត់រទាំងតាមអំពើចិត្តខ្លួន សូម្បីអ្នកមានទ្រព្យដូ
ចព្រះវៃស្រវ័ណ (នាមព្រះកុវេរៈ ជាទេពតាមាសទ្រព្យសម្បត្តិ) ក៏មិនយូរប៉ុន្មាន គង់នឹងដល់នូវ ការអន្តរធានរលីង
មិនខាន។
សីហៈស្តព្ធកណ៌ៈពោលឡើងថា «នែបងបិង្គលកៈអើយ! ស្តាប់ខ្ញុំនិយាយសិន ចចកទមនកៈទាំងពីរនេះអាស្រ័យនៅ
ជាមួយបងមកអស់កាលយូរហើយ ជាសេនាបតីកាន់កាប់កិច្ចការរក្សាសន្តិភាព និងធ្វើសង្រ្គាមច្បាំងតតាំងសត្រូវ
បងមិនត្រូវយក ទៅប្រើប្រាស់អោយកាន់អថាធិការ (ការឃ្លាំង)ទេ។មួយទៀត ខ្ញុំសូមរៀបរាប់ពីការ ចាត់ចែងអា
មាត្យអោយធ្វើការ តាមដែលខ្ញុំបានដឹងលឺមកដូចសេចក្តីតទៅនេះ៖
៩៦ - ព្រាហ្មណ៍ អ្នកចំបាំង និងផៅពង្ស មិនគួរលើកអោយធ្វើក្នុងការឃ្លាំងទេ ព្រោះព្រាហ្មណ៍សូម្បីមានសិទ្ធិត្រូវអោ
យ ក៏មិនព្រមបើកទ្រព្យអោយ បើទុកជាអោយ ក៏អោយដោយពិបាកណាស់។
៩៧ - អ្នកចំបាំងកាន់ការឃ្លាំងទ្រព្យ ទៀងណាស់តែនឹងកាន់ក្របីសំដែងរិទ្ធិ បើអោយផៅពង្សកាន់វិញ គេគិតតែពី
កាញ់យកទ្រព្យសម្បត្តិអស់ ដោយអាងថាខ្លួនគេជាញាតិ។
៩៨ - ខ្ញុំបំរើចាស់ សូម្បីធ្វើការភ្លាត់ខុស ក៏មិនក្រែងរអែងចិត្តម្ចាស់ គេតែងមើលងាយម្ចាស់ ធ្វើការអ្វីៗតាមអំពើ
ចិត្ត។
៩៩ -បុគ្គល កាលឋិតនៅក្នុងតំណែង តាំងចិត្តធ្វើការជាអុបការៈមិនសំគាល់ថាខ្លួន ធ្វើការខុសទេ តែងយកអុបកា
រៈជាទង់ជ័យបាំងមុខហើយនិងធ្វើការបំផ្លាញប្រទេសទាំងមូល។
១០០ - អាមាត្យជាអ្នកធ្លាប់លេងល្បែងជាមួយស្តេច ទៀងណាស់តែងតាំងខ្លួនធ្វើរិកជាស្តេច មើលងាយស្តេចគ្រ
ប់កាលទាំងពួងព្រោះការធ្លាប់ស្និទ្ធ។
១០១ - អាមាត្យប្រទុស្តដោយផ្លូវកំបាំង ចេះធ្វើអត់ធន់ណាស់ ហើយមិនធ្វើការងារអ្វីសព្វជំពូកជាប្រយោជន៏សោះ
ក្នុងរឿងនេះ ព្រះភូបតីអាចយកអាមាត្យឈ្មោះ សកុនី (មន្រ្តីទុរយោធ ត្រូវជាបិតុលាពួកកៅរវៈ) និងអាមាត្យឈ្មោះ
សកដារ(មន្រ្តីព្រះបាទ នន្ទៈ ជាស្តេចនៃមគធៈមើលរឿងកដា សរតិសាគរ) ជាអ្នកប្រទុស្តមកជាអុទាហរណ៍បាន។
១០២ - គ្រប់ការទាំងពួងអាមាត្យទាំងអស់ដែលនឹងត្រូវតែងតាំង មិនគួរអោយបរិបូណ៌ដោយទ្រព្យទេ អ្នកប្រាជ្ញទាំង
ឡាយប្រាប់អុបទេសថា «រិទ្ធិគឺការមានទ្រព្យច្រើន អាចផ្លាស់ផ្តូរចិត្តមនុស្សអោយទៅផ្សេងៗបាន។ (ហិតោបទេស
របស់លោកឡង់សឺរូប្រែថា ទោះជាយ៉ាងណក៏ដោយ មិនត្រូវបំប៉នអោយអាមាត្យមានទ្រព្យសម្បត្តិច្រើនទេ អុប
ទេសនៃអ្នកប្រាជ្ញថា «ទ្រព្យច្រើននាំអោយផ្លាស់ទឹកចិត្តមនុស្ស»)
១០៣ - លួចយកទ្រព្យសម្បត្តិដែលបានមក ប្រវពា្ចន៍បំបាត់(ហិតោបទេស របស់លោកនាគប្រទីប ត្រង់ពាក្យថា
ប្រាប្ដាថិគ្រហណៈថាមិនកាន់ទុកអោយបាននូវប្រយោជន៍ដែលដល់ហើយ សេចក្ដីប្រែនេះគួរអោយមានសេចក្ដី
ឆ្ងល់) ទ្រព្យ បណ្តោយតាមចិត្តម្ចាស់ ព្រងើយកន្តើយភាពជាបុគ្គលអិតវិចារ ភ្លើតភ្លើនសប្បាយទាំងអស់នេះជា
គ្រឿងប្រទូស្តនៃអាមាត្យ។
១០៤ - ប្រើមធ្យោបាយដកយសស័ក្តិ ត្រួតត្រាមើលជានិច្ច ប្រទានអោយឡើងនាទី ផ្លាស់ចេញពីនាទី នេះជាប្រសា
សន៍វិធីនៃស្តេចដែលត្រូវធ្វើចំពោះអាមាត្យ។
១០៥ - ដោយច្រើន អាមាត្យកាន់អំណាច បើគេសង្កត់រឹតត្បិតទើបធ្វើអោយចំរើន ព្រះរាជទ្រព្យនៃម្ចាស់ផែនដី
ប្រៀបដូចបូសកាចបើគេច្របាច់ទើបខ្ពុរខ្ទុះចេញ។
១០៦ -អាមាត្យកាន់ឃ្លាំងប្រាក់ ព្រះរាជគួរសង្កត់សង្កិនអោយរឿយៗ សំពត់សំរាប់ងូតទឹក បើគេពូតអស់វារៈតែម្តង
នឹងសំរក់ទឹកចេញភ្លាម មិនមែនរឺ?។
បុគ្គលកាលបានដឹងច្បាស់នូវហេតុការណ៏ដូច្នេះសព្វគ្រប់ហើយគប្បីចាត់ចែងការ ងារអោយមានរបៀបរៀបរយ
តទៅ ទាន់មានអោកាសល្អ។ បិង្គលកៈនិយាយសំរបថា មានហេតុការណ៍ពិតដូច្នោះមែនហើយ តែធ្វើម្តេចហៈ! អា
មាត្យទមនកៈនិង ករដកៈ ទាំងពីរនេះ មិនធ្វើតាមពាក្យបង្គាប់យើងសោះ។ ស្តព្ធកណ៌ៈនិយាយទៀតថា «បើដូច្នោះ
ប្អូនមិនត្រូវបណ្តោយអោយខូចខាតការនេះតទៅទៀតទេ ព្រោះថា៖
១០៧ - ព្រះរាជា មិនត្រូវអត់ទោសសោះ សូម្បីព្រះរាជបុត្រដែលធ្វើអោយខូចព្រះរាជអាជ្ញា បើមិនដូច្នោះទេ មាន
សេចក្តីប្លែកគ្នាដូចម្តេចខ្លះហ្ន៎ រវាងព្រះរាជា និងព្រះរាជារូបគំនូរ?។
១០៨ - មនុស្សរឹងរូសវិនាសយស មនុស្សមានចិត្តមិនស្មើគ្នា បាត់មិត្តភាព មនុស្សវិកលអិន្រ្ទីយ៍មិនមានត្រកូល មនុ
ស្សល្មោភមិនមានធម៌ មនុស្សធ្វើសេចក្តីអន្តរាយ ខាតផលវិជ្ជា មនុស្សកំណាញ់វិនាសសេចក្តីសុខ អែព្រះនរាធិបតី
មានតែអាមាត្យឡែបឡបស្រវឹងលាភយស វិនាសរាជ្យ។
១០៩ - មែនពិត ព្រះរាជាដូចបិតា ត្រូវរក្សាការពារប្រជាករអោយផុតភយន្តរាយ ដែលកើតពីចោរពីអាមាត្យមុខ
មន្រ្តី ពីសត្រូវក្រៅប្រទេស ពីបរិវាជំនិតព្រះអង្គ និងសេចក្តីលោភរបស់ព្រះអង្គអែង។
នែប្អូនអើយ! ចូលប្អូនធ្វើតាមពាក្យដាស់តឿនបង គួរយើងរៀបចាត់ចែងរបៀប អោយរៀបរយតាំងពីពេលនេះ
តទៅ។ គោសញ្ជីវកៈនេះ ស៊ីស្មៅសន្ទូងជាចំណីអាហារ គួរប្រគល់ការអោយធ្វើជាមេឃ្លាំងព្រះរាជទ្រព្យ និងចាត់
ចែងខាងស្បៀង។ កាលបិង្គលកៈ បានចាត់ចែងតាមពាក្យដាស់តឿនស្តព្ធកណ៌ៈដូច្នេះហើយ សត្វទាំងពីរគឺបិង្គលកៈ
និងគោសញ្ជីវកៈ លះបង់ផៅពង្សញាតិសន្តាន ព្រមទាំងសេវកាមាត្យចោលមិនសូវនឹកនាដូចកាលដើមទេ ហើយ
ញ៉ាំងកាលអោយប្រព្រឹត្តកន្លងទៅដោយសេចក្តីស្នេហាដ៏ក្រៃលែងចំពោះគ្នាតែពីរនាក់។ លំដាប់តមក ចចកទមន
កៈនិង ករដកៈ ព្រមមួយអន្លើដោយពួកសេវកាមាត្យ ឃើញម្ចាស់មិនរវល់នឹកនាអោយចំ ណីអាហារគ្រប់គ្រាន់ និង
បរិភោគដូច្នេះ ចេះតែខ្សិបខ្សៀវគ្នីគ្នាទៅវិញទៅមក កាលនោះ ចចកទមនកៈនិយាយនិងចចកករដកៈថា «នែសំ
លាញ់យើងងគិតធ្វើដូចម្តេចហៈ នេះជាកំហុសយើងងធ្វើអោយខុសខ្លួនអែង ហើយមកយំសោកក្តៅក្រហាយស្តា
យក្រោយធ្វើដូច្នេះមិនល្អមើល ព្រោះថា៖
១១០ - មនុស្ស៣នាក់ត្រូវទទួលទុក្ខលំបាក ព្រោះទោសកំហុសខ្លួនអែង គឺរូបខ្ញុំ ព្រោះទៅពាល់រូបគំនូរនាងស្វណ៌រេ
ខា នាងមេអណ្តើក ព្រោះព្រមអោយគេចងខ្លួនអែងជំនួស និងពាណិជ ព្រោះការលួចយកកែវមណី។
ចចកដរកៈសួរថា «ចុះរឿងនោះដុចម្តេច?»។ ចចកទមនកៈនិយាយរឿងនោះប្រាប់តទៅថា៖
កថាទី៦
រឿងបរញ្វជកកន្ទប៌កេតុ
(ប្រកបរឿងគោបាលប្តីប្រពន្ធ អ្នកកាត់សក់ប្តីប្រពន្ធ ព្រមទាំងរឿងពាណិជខាតទ្រព្យ)
មានព្រះរាជាមួយព្រះអង្គទ្រង់ព្រះនាមវីរវិក្រមៈ សោយរាជសម្បត្តិក្នុងក្រុងឈ្មោះ កាញ្ចនបុរៈ។ ថ្ងៃមួយចៅក្រម
កាត់ទោសអ្នកកាត់សក់ម្នាក់ដល់ប្រហារជីវិត បង្គាប់អោយនាយពេជ្ឈឃាតនាំយកទៅសំលាប់។ កាលពេជ្ឈឃាត
បណ្តើរអ្នកកាត់សក់ទៅកាន់ទីមនុស្សឃាត បានជួបរិញ្វជកម្នាក់ឈ្មោះ កន្ទប៌កេតុ និងពាណិជម្នាក់ទៀត។ កន្ទប៌កេ
តុឃាត់ពេជ្ឈឃាតថា «នែពេជ្ឈឃាត! អ្នកកាត់សក់នេះ មិនត្រូវគេសំលាប់ទេ» ថាហើយចាប់ជាយសំពត់អ្នកកាត់
សក់ជាប់ ទាញមិនព្រមអោយយកទៅសំលាប់។ រាជបុរសជាពេជ្ឈឃាតសួរថា «ហេតុអ្វីក៏មិនត្រូវសំលាប់នុស្សទោ
សនេះ?»។ កន្ទប៌កេតុឆ្លើយប្រាប់ថា «សូមអ្នកទាំងអស់ចាំស្តាប់ រូបខ្ញុំនេះបាន ពាល់រូបនាងស្វណ៌រេខា បានជាធ្លាក់ខ្លួ
នមកកាន់សភាពដូច្នេះ»។ រាជបុរសទាំងឡាយបានស្តាប់ហើយងឿងឆ្ងល់ណាស់ ទើបសួរតទៅថា ចុះរឿងនោះតើដូ
ចម្តេចខ្លះ? បរិញ្វជកកន្ទប៌កេតុចាប់ផ្តើមនិយាយរឿងខ្លួននោះអោយស្តាប់ដូចសេចក្តីតទៅនេះថា៖
ខ្លួនខ្ញុំនេះឈ្មោះកន្ទប៌កេតុ ជាបុត្រព្រះរាជាមួយព្រះអង្គ ទ្រង់ព្រះនាមជីមូតកេតុ នៅសីហលទ្វីប។ ថ្ងៃមួយខ្ញុំចូលទៅ
លេងកំសាន្តសប្បាយក្នុងសួនអុទ្យាន បានជួបពាណិជម្នាក់ អ្នកធ្លាប់ដើរសំពៅសមុទ្រ គាត់បាននិយាយប្រាប់ខ្ញុំថា
«នៅនាកណ្តាលសមុទ្រ តែដល់ថ្ងៃ១៤ កើតហើយតែងមានផុសកល្បព្រឹក្សមួយដើម នៅទៀបគល់កល្បព្រឹកនោះ
ខ្ញុំឃើញនាងកញ្ញាម្នាក់ មានរូបឆោមលោមពណ៌ល្អអនេកដូចនាងលក្សមី (សក្តិព្រះនារាយ) ប្រដាប់តាក់តែងស្អិត
ស្អាងកាយដោយគ្រឿងអលង្ការគ្រប់ប្រការ អង្គុយលើទែនសយនាជាវិការៈនៃមាសភ្លឺប្រុះឆ្លុះឆ្វៀលច្រវាត់ដោយ
រតនវត្ថុ ដ៏មានតំលៃ ដៃដេញពិណលេងកំសាន្តសប្បាយលឺសូរពិរោះក្រៃលែង។ លំដាប់នោះ កាលទៅដល់ខ្ញុំបាន
ឃើញនាងកញ្ញាអង្គុយលើទែនសយនាដ៏ល្អនោះមែន តែពេលនោះ ទែនសយនាលិចពាក់កណ្តាលទៅក្នុងទឹកហើ
យ តទៅនាងកញ្ញានោះក៏លិចបាត់ទៅក្នុងទឹកព្រមមួយអន្លើដោយស្រីបរិវារនៅចំពោះមុខខ្ញុំថែមទៀត ដូចសេចក្តី
ដែលពាណិជបានប្រាប់ខ្ញុំសព្វគ្រប់មែន។ កាលនោះអែង ខ្ញុំជាប់ចិត្តស្និទ្ធស្នេហា ចំពោះរូបសោភានាងកញ្ញានោះខ្លាំង
ណាស់ ទាល់តែអត់ទ្រាំមិនបានក៏លោតភ្លុងចុះក្នុងទឹកមុជទៅតាមភ្លាម ខ្ញុំបានទៅដល់កនកបុរីស្រីនគរមាស បាន
ឃើញនាងកញ្ញានោះអង្គុយលើទែនដដែលក្នុងសុវណ្ណប្រាសាទ មាននាងវិជ្ជាធរីទាំងឡាយកំពុងចោមរោមគាល់
ហ្វៅ (ឃ្លាំកំដរ)។ នាងកញ្ញានោះមើលមកឃើញខ្ញុំពីចំងាយ ក៏ប្រើនាងវិជ្ជាធរីម្នាក់ជាជំនិតអោយមកអញ្ជីញខ្ញុំ នាង
បំរើនេះនិយាយប្រាប់ខ្ញុំដោយក្តីរាក់ទាក់ដ៏ក្រៃលែង។ ខ្ញុំសាកសួរនាងបំរើនោះៗ និយាយប្រាប់មកខ្ញុំវិញថា នាងកញ្ញា
នេះព្រះនាម នាងរត្នមញ្ជរី ជាព្រះរាបុត្រីនៃព្រះបាទចក្រពត្រាធិរាជនៃពួកពិទ្យាធរទាំងឡាយ ទ្រង់ព្រះនាម កន្ទប៌កេ
លី ព្រះនាងបានប្តេជ្ញាទុកថា អ្នកណាបានមកដល់ឃើញក្រុង កនកបុរីនេះដោយភ្នែកខ្លួនអែង សូម្បីព្រះវរបិតានាង
មិនជ្រាប ព្រះនាងក៏ទទួលយកអ្នកនោះជារាជស្វាមី បើដូច្នោះចូរអ្នករៀបចំមង្គលការនឹងនាងកញ្ញានេះ ដោយ
គាន្ធវិវិវាហៈក្នុងកាលអីលូវនេះទៅ។ កាលនោះអែង ខ្ញុំក៏រៀបចំធ្វើមង្គលការគាន្ធវិ វិវាហៈនឹងនាងកញ្ញានោះហើ
យនៅជាសុខក្សេមក្សាន្តមនោរម្យសមតាមសេចក្តីប្រាថ្នាអស់កាលដ៏យូរ។
ថ្ងៃមួយ នាងរត្នមញ្ជរីជាភរិយានិយាយហាមប្រាមខ្ញុំដោយសេចក្តីស្រលាញ់ថា៖ «ស្វាមី! អ្នកបងចូរប្រើប្រាស់គ្រឿង
អុបភោគបរិភោគ ដែលមាននៅក្នុងប្រាសាទទាំងអស់នេះតាមសេចក្តីប្រាថ្នាចុះ កុំកោតញញើតឡើយ តែរូបគំនូរ
នាងវិជ្ជាធរី ឈ្មោះស្វណ៌រេខាមួយនេះ ក្នុងកាលណាក៏ដោយ អ្នកបងកុំពាល់អោយសោះ។ ក្នុងកាលជាខាងក្រោយ
មកដោយក្តីចំណង់ដ៏ខ្លាំងក្រៃលែង អត់ទ្រាំមិនបានខ្ញុំក៏យកដៃទៅពាល់សុដននាងស្វណ៌រេខារូបគំនូរនោះ ដកដៃស្ទើរ
តែមិនទាន់ទាំងផុតផង រូបគំនូរនាងស្វណ៌រេខានោះ យកជើងមកធាក់ខ្ញុំមួយជើងប៉ាំង ប៉ើងធ្លាក់មកដល់ស្រុកកំណើ
តខ្លួនវិញមួយរំពេច។ ខ្ញុំកើតទុក្ខព្រួយក្តៅក្រហាយស្តាយេក្រាយ តប់ប្រមល់តល់ពុទ្ធោមិនដឹងធ្វើដូចម្តេច ក៏រត់មក
បួសជាបរិញ្វជក ចេះតែដើរត្រាច់រង្គត់លើផែនពសុធាវិលវល់ទៅវិញទៅមក ហើយដើររហូតមកដល់នគរនេះអែ
ង។ លុះព្រះទិនករ ដ៏បវរចរចូលកាន់សន្ធិយារាត្រីខ្ញុំក៍ចូលទៅកាន់ផ្ទះគោបាលដែលនៅជិតទីឋាននេះ សុំជ្រកកោន
អាស្រ័យនៅសំរាកកំលាំង។ គោបាលបានទទួលអោយខ្ញុំពឹងពាក់អាស្រ័យ ក្នុងទីមួយកន្លែងនៅផ្ទះគាត់ គាត់បាននិ
យាយប្រាប់ភរិយាគាត់ថា អោយមើលថែរក្សាខ្ញុំដោយល្អផង ចាំទំរាំដល់គាត់ត្រលប់មកវិញ។ គោបាលផ្តាំទុកដាក់
ខ្ញុំនឹងភរិយារួចហើយ គាត់ដើរចេញទៅក្រៅបាត់។ ក្នុងពេលដែលគោបាលជាប្តីចេញផុត បាត់ទៅ ភរិយាគាត់ប្រព្រឹ
ត្តខុសគន្លងប្រវេណីស្រ្តីភាព ធ្វើការទាក់ទងជាមួយស្រ្តីពេស្យាជាមេអណ្តើកម្នាក់ជាភរិយាអ្នកកាត់សក់។ លុះគោ
បាលត្រលប់មកដល់ផ្ទះ គាត់ឃើញភរិយាគាត់កំពុងនិយាយចរចាជាមួយនិងស្រ្តីពេស្យានោះ។ អែភរិយាគោបាល
កាលឃើញគោបាលជាប្តីត្រលប់មកដល់វិញ រត់ចូលទៅក្នុងផ្ទះភ្លាមហើយធ្វើជារៀបចំតាក់តែងគ្រែពូកខ្នល់ខ្នើយ
សំរាប់ទទួលទានដំណេក។ គោបាលជាប្តីចាប់ភរិយាកាឡកណ្ណីនោះមកវាយច្រើនខ្វាប់ ហើយកទៅចងភ្ជាប់និងស
សរទ្រូងផ្ទះ រួចគាត់ក៏ចូលទៅសម្ងំដេកលក់ទៅ។ ពេលរំលងអធ្រាត្រ ស្រ្តីពេស្យាមេអណ្តើកនោះ វិលត្រលប់មក
ជួបប្រពន្ធគោបាលវិញ ហើយនិយាយថា «ម្រាក់អើយ! សាហាយជាទីស្រលាញ់ម្រាក់ កើតទុក្ខក្តៅក្រហល់ក្រហា
យរោលរាលខ្លាំងណាស់ដូចភ្លើងឆេះ ដេកមិនលក់បក់មិនល្ហើយទេព្រោះមិនបានជួបឃើញមុខម្រាក់ថ្ងៃនេះ អិលូវ
នេះត្រូវសរព្រះកាមទេពសន្លប់សន្លិនដូចរកកល់ស្លាប់ទៅហើយព្រោះថា៖
១១១ កាលបើព្រះចន្រ្ទរះឡើងក្រឡង់ កំចាត់បង់អ័ព្ទងងឹតសូន្យសុង ចោលពន្លឺភ្លឺថ្លាត្រជាក់ស្រអែតក្នុងរាត្រីកាល
ហើយ ព្រះកាមទេពតែងបាញ់សរទៅចំចិត្តកំលោះ ដែលខ្លួនបានឃើញ។
ខ្ញុំបានឃើញសាហាយនាង កើតទុក្ខព្រួយជ្រុបសញ្ជប់សញ្ជឹងមានប្រការដូច្នេះ ទើបបានជាខ្ញុំវិលត្រលប់មកប្រាប់
ម្រាក់វិញ។ បើដូច្នេះ ដើម្បីអោយម្រាក់បានទៅជួបប្រុសសំលាញ់ក្នុងទីនោះ លុះម្រាក់ធ្វើអោយគ្នាបានសប្បាយ
ចិត្តរួចស្រេចហើយសឹមម្រាក់ត្រលប់វិលមកវិញតែសូមម្រាក់កុំទៅយូរពេក។ កាលនាងទាំងពីរនិយាយគ្នាហើយ
ធ្វើតាមពាក្យនាត់នោះ គោបាលភ្ញាក់ពីដេកឡើងវិញ ហើយនៅតែក្តៅចិត្តងំនៅឡើយ ទើបនិយាយបញ្ជោះបោះ
បោកទៅរកភរិយាថា «ចុះហេតុអ្វី ពេលនេះមេសំផឹងអែងម៉េចក៏មិនទៅរកសាហាយមីហងអែងទៀតទៅហៈ!»។
ពេលនោះ ដរាបណាស្រ្តីពេស្យាមេអណ្តើកដែលចងខ្លួនជំនួសភរិយាគោបាលមិនមាត់កថាដូចម្តេចសោះ ដរាប
នោះគោបាលច្រលោតខឹងរឹតតែខ្លាំងឡើងស្រែកជេរសន្ធប់ថា «យើមីចោរចង្រៃ! មីហងអែងព្រហើនណាស់ ម៉េ
ចមិនចង់និយាយឆ្លើយឆ្លងនឹងអញផង ប្រយ័ត្នអញអត់មិនបានតិចហ៊ិៈ! ថាហើយក្រោធខឹងណាស់ស្ទុះទៅកន្រ្តាក់យ
កកាំបិតមកកាត់ចុងច្រមុះស្រ្តីនោះដាច់ធ្លាក់ដល់ដី កំបុតថ្ងុយកញ្ឆតច្រមុះទៅ កាត់រួចហើយ គោលបាលក៏ចូលទៅ
សម្ងំដេកលក់ដូចដើមវិញទៅ។ តមកមិនយូរប៉ុន្មានភរិយាគោបាលត្រលប់មកដល់វិញ ហើយសួរទៅនាងមេអ
ណ្តើកនោះថា «ម៉េចទៅម្រាក់! មានការអ្វីថ្មីទៀតទេ!»។ «ចុះហងម៉េចក៏មិនមើលមុខមេអណ្តើកឆ្លើយ ដាច់ច្រមុះ
គ្នាកញ្ឆតទៅហើយថា សួរគ្នាថាមានការអ្វីថ្មីទៀតទេ មុខច្រមុះកញ្ឆតនេះវាប្រាប់ស្រាប់ហើយចាំសួរធ្វើអ្វី។ ភរិយា
គោបាលផ្លាស់យកខ្លួនទៅចងវិញ ហើយឈរនៅប្រងើយដូចដើម។ អែស្រ្តីពេស្យាមេអណ្តើក កាលគេស្រាយខ្លួន
ហើយលូកដៃរើសចុងច្រមុះមួយកំណាត់កាន់ដើរចេញទៅផ្ទះខ្លួនវិញ។ លុះដល់ព្រឹកព្រាងឡើងអ្នកកាត់សក់នៅ
ក្រៅផ្ទះ ស្រែកហៅប្រពន្ធប្រើអោយយកស្រោមកាំបិតព្រមទាំងកាំបិតមកអោយផង អែនាងមេអណ្តើកជាប្រ
ពន្ធមិនអោយទាំងស្រោមកាំបិតត្រលប់ជាអោយតែកាំបិតមកវិញ។ អ្នកកាត់សក់ក្រោធខឹងឆេវកន្រ្ទាក់ កាំបិតពី
ដៃភរិយាយកទៅចោលលឺសូរក្តូងក្តាំងពេញទាំងផ្ទះ។ ភរិយាភិតភ័យស្លាំងកាំងរន្ធត់កត្តមាខ្លាំងណាស់ ទ្រហោយយំ
ហ៊ូរឡើង ហើយស្រែកឆោឡោអាក្រោសប្រាប់គេអែងថា «អោលោកអើយ! ខ្ញុំមិនខុសឆ្គាំឆ្គងអ្វីសោះ ស្រាប់តែ
យកកាំបិតមកកាត់ច្រមុះខ្ញុំដាច់ថ្ងុយចេញឈាមសស្រាក់!» និយាយហើយក៏កាន់ចុងច្រមុះចុះពីផ្ទះដើរចេញទៅប្តឹង
តុលាការអោយជំនុំជំរះ។ ក្នុងពេលនោះអែង គោបាលបែរទៅនិយាយនឹងភរិយាខ្លួនដោយសំដីឡកឡឺយថា «អើមី
ហងអែង! គ្រាន់បើហើយ វាសមមុខហើយ មីកញ្ឆតច្រមុះ។ «នែអាកំណាចចង្រៃ! ភរិយាឆ្លើយ អ្នកណាអាចធ្វើ
ប្រពន្ធគ្រប់លក្សណ៍ខ្លួនអែងអោយអាម៉ាស់មុខគេដូចអាចង្រៃអែងនេះ? អញមិនចង់និយាយបូរបាច់ច្រើនពេកទេ
រឿងនេះលោកបាល ជាទេវតារក្សាលោកទាំង ៨ទិស ជ្រាបសេចក្តីបរិសុទ្ធអញស្រាប់ហើយ»
១១២ ព្រះអាទិត្យនិងព្រះចន្ទ ព្រះវាយុនិងព្រះអគ្គី មេឃដីនិងទឹក ហរិទ័យនិងព្រះយម ថ្ងៃនិងយប់ ពេលសន្ធិ (ពេល
ព្រះអាទិត្យជិតរះឡើង និងរះឡើងច្បាស់ហើយ១ ពេលព្រះអាទិត្យជិតអស្ដង្គត និងលិចបាត់ទៅ១ ) ទាំងពីរនិងព្រះ
ធម៌ តែងស្គាល់ច្បាស់នូវសេចក្តីប្រព្រឹត្តិនៃមនុស្សលោក។
បើខ្លួនខ្ញុំជាស្រីគ្រប់លក្សណ៍ មិនលះបង់ចោលប្តីមិនដែលស្គាល់ប្រុសដទៃ សូម្បីយល់សប្តិក៏មិនដែលឃើញថាមា
នការប្រព្រិត្តអនាចារនឹងប្រុសដទៃទេ សូមកុំអោយមុខមាត់ច្រមុះខ្ញុំវិកលវិការៈដោយអំណាចគុណធម៌ជាកុសល
នេះឡើយ ហើយសូមអោយខ្ញុំមានតេជៈអាចរំលាយប្តីចង្រៃនេះអោយខ្ទេចជាផង់ធូលីផេះកុំខាន ប្តីអ្វីកាចចង្រៃ
ម្លេះនេះ? ខ្ញុំមានចិត្តភ័យខ្លាចចំពោះតែលោកជាទេវតាធំទេ ថាហើយស្រែកប្រាប់ទៅប្តីថា «មើលអាចង្រៃអែង!
អាអែងមកមើលមុខអញមើល!។ កាលនោះគោបាលជាប្តី លឺពាក្យសច្ចាប្រណិធានភរិយាម៉ឺងម៉ាត់ដូច្នោះឆេះដូច
ភ្លើង អត់ទ្រាំមិនបានក៏ដុតភ្លើងកាន់យកទៅទ្រោលបំភ្លឺមើលមុខភរិយាដើម្បីនឹងផ្ទាញ់កុំអោយឆ្នាសពេក លុះមើល
ហើយឃើញច្រមុះពេញលេញដូចប្រក្រតីដើម ភ័យណាស់ ក៏លុតជង្គង់ក្រាបទៀបជើងភរិយា ពោលពាក្យលន់តួ
អង្វរទោសហើយសរសើរសំណាងខ្លួនថា «អោអញអើយ! មានបុណ្យវាសនាណាស់តើ! បានភរិយាបរិសុទ្ធ ប្រាកដ
ដូច្នេះ ជាស្រីគ្រប់លក្សណ៍ប្រសើរណាស់ហ្ន៎! យីអញ! កុំអីវរសោះ។ (ហីតោបទេសលោកឡង់សីរ៉ូ មានគាថា លើ
សដូច្នេះ ក្នុងសំដីស្រីមានសុទ្ធតែទឹកឃ្មុំ តែក្នុងចិត្តស្រីមានសុទ្ធតែពិសពុល បើពពិរមាត់ទទឹកដោយពិសពុលហើយ
ចិត្តពុះពោរដោយសេចក្តីទុក្ខក្តៅក្រហាយ)
បរិព្វាជកកន្ទប៌កេតុនិយាយប្រាប់រាជបុរសតទៅទៀតថា រូបអ្នកនេះជាពាណិជ ដែលមានរឿងជាមួយគ្នាខ្ញុំនឹងរៀប
រាប់រឿងគាត់ជូនស្តាប់ដូចសេចក្តីតទៅ៖
នាយពាណិជនេះ ធ្វើដំណើរចេញពីផ្ទះខ្លួនទៅរកធ្វើជំនួញ ទៅនៅរកទទួលទាននៅប្រទេសជិតភ្នំមល័យអស់១២ឆ្នាំ
រួចហើយទើបបានមកដល់ក្រុងនេះ។ នៅក្នុងក្រុងនេះគាត់បានសុំទីជ្រកអាស្រ័យដំណេកនៅផ្ទះស្រីពេស្យាម្នាក់។
នាងពេស្យានេះ បានអោយគេឆ្លាក់រូបេវតាលៈ(រូបបីសាចស៊ីខ្មោចស្រស់) ជាវិការៈនៃឈើយកទៅដាក់ នៅមាត់
ទ្វារផ្ទះនៅលើក្បាលរូបវេតាលៈនោះ នាងពេស្យាបញ្ចុះពេជ្រដ៏មានតំលៃទាំងគ្រាប់។ ដោយក្តីល្មោភជិះជាន់ខ្លាំង
ពេលយប់នាយពាណិជដើរឡើងចូលទៅ លបលួចយកពេជ្រដែលនៅលើក្បាលវេតាលៈនោះ កាលលូកដៃទៅ
ចាប់យក ស្រាប់តែមានខ្សែយន្តទាញដៃវេតាលៈទាំងពីរអោយកំរើក ទៅរួបចាប់ដៃពាណិជ ជាប់រើមិនរួច ពាណិជ
ភ័យខ្លាំងណាស់ទាល់តែស្រែកអោយគេជួយ។ នាងពេស្យាភ្ញាក់ឡើងនិយាយទៅកាន់ពាណិជថា «នែកូនសំលាញ់!
អែងមកពីប្រទេសជិតភ្នំមល័យ អែងចូរប្រគល់រតនវត្ថុទាំងអស់នោះមកអោយយើង បើអែងរឹងមិនព្រមអោយ
ទេ បិសាចនេះនឹងមិនព្រមលែងអែងទេ ព្រោះកិច្ចការនេះ ជាការងាររបស់បិសាច។ កាលនោះពាណិជក៏ប្រគល់
រតនវត្ថុខ្លួនទាំងអស់អោយទៅនាងពេស្យា អិតមានសេសសល់អ្វី អិលូវនេះគាត់ខាតបង់ទ្រព្យសម្បត្តិអស់ ធ្លាក់ខ្លួន
ទៅជាអ្នកក្រីក្រត្រដេបត្រដាបដូច្នេះ ទើបបានមកនៅជាមួយខ្ញុំសព្វថ្ងៃនេះ។ លុះរាជបុរសជាពេជ្ឈឃាតទាំងឡាយ
បានស្តាប់ដំណើរដើមទងរឿងសព្វគ្រប់ហើយ ក៏យកសេចក្តីទាំងអស់នេះទៅប្រាប់ដល់ចៅក្រមវិញ។ លំដាប់នោះ
ចៅក្រមក៏ចាត់ការអោយបំបរបង់នាង ពេស្យាមេអណ្តើកនិងភរិយាគោបាលចេញពីភូមិមិនអោយនៅតទៅទៀត
បង្គាប់អោយអ្នកកាត់សក់ត្រលប់ទៅកាន់ផ្ទះទីលំនៅខ្លួនវិញ។ ព្រោះហេតុនោះហើយបានជាខ្ញុំ(ចចកទមនកៈ) ពោ
លជាបទដើមអាទិ៍ថា «មនុស្ស ៣នាក់ត្រូវទទួលទុក្ខលំបាក» ដូច្នេះជាដើម (លេខ១១០)។
អើទោសនេះ ជាទោសគឺយើងធ្វើខ្លួនយើង បើដូច្នេះ តើយើងទៅរវល់កើតទុក្ខយំសោយសោកថ្វី។ ចចកទមនកៈ
ពិចារណាមើលមួយស្របក់ ក៏និយាយតទៅថាៈ «នែសំលាញ់! អត់សង្កត់ចិត្តបន្តិចទៅសិនចុះ ខ្ញុំជាដើមហេតុនាំអោ
យចងមេត្រីភាពយ៉ាងណា ខ្ញុំក៏ជាដើមហេតុនាំបំបែកមិត្រអោយបានយ៉ាងនោះដែរ ព្រោះថា៖
១១៣ - នរជនឆ្លៀវឆ្លាតអាចប្រឌិតរបស់ដែលមិនពិត អោយមើលឃើញជារបស់ពិតប្រាកដបាន ដូចវិចិត្រករប្រស
ប់ប៉ិនប៉ៅ អាចគូររូបភាពលើផ្ទៃដ៏រាបស្មើអោយឆ្លុះស្រមោលគេមើលទៅឃើញមានទាបខ្ពស់ទៅតាមចិត្តបាន។
១១៤ - រីហេតុការណ៍ណាមួយដែលកើតឡើងភ្លាមៗ ដោយមិនដឹងខ្លួន នរជនណា មិនភ័ន្តភាំងបាត់គំនិតប្រាជ្ញាទេ
នរជននោះអាចឆ្លងផុតពីក្រទុក្ខលំបាកគ្រប់ប្រការបាន ដូចភរិយាគោបាលនិងសាហាយ២នាក់។ ចចកករដកៈ សួររឿ
ងនោះថា«រឿងនោះ តើដូចម្តេច?។
ចចកទមនកៈ រៀបរាប់រឿងរ៉ាវនោះប្រាប់ដូចតទៅនេះថា៖
កថាទី៧
រឿងភរិយាគោបាល និងសាយហាយពីរនាក់
នៅក្នុងបុរីទ្វារាវតី មានស្រ្តីម្នាក់ជាភរិយាគោបាល ជាស្រ្តីចិត្តចើករហីររហាយ ទៅចងចិត្តរីករាយដោយផ្លូវកាមលោ
កិយ និងមន្រ្តីកាន់ការជាទណ្ឌនាយក (មេតំរួត មេនគរបាល) ព្រមទាំងបុត្រកំលោះគាត់ផងនៅក្នុងក្រុងនោះ ព្រោះ
ថា៖
១១៥ - ភ្លើងតែងមិនឆ្អែតដោយអង្កត់អុសទាំងឡាយ មហាសមុទ្រតែងមិនឆ្អែត ដោយទឹកស្ទឹងទាំងឡាយ ម្រឹត្យុតែ
ងមិនឆ្អែតដោយសព្វសត្វទាំងឡាយ អែស្រ្តីមានរូបល្អតែងមិនឆ្អែតដោយប្រុសទាំងឡាយ។
១១៦ - ដោយការអោយរង្វាន់ក៏មិនបាន ដោយការយកចិត្តក៏មិនបាន ដោយការប្រើអាវុធបង្ខំក៏មិនបាន រឺដោយការ
ប្រើច្បាប់ចរិយាបង្គាប់ក៏មិនបាន ដោយពិតស្រ្តីភាព គឺគេទូន្មានមិនងាយបានដោយប្រការទាំងពួង។
១១៧ ស្រ្តីភាព ចិត្តដាច់ណាស់ អាចលះបង់ប្តីដែលមានគុណប្រសើរ មានកិត្តិយស មានរូបល្អជាទីពេញចិត្ត ឆ្លាត
ក្នុងកាមវិធី មានទ្រព្យសម្បត្តិច្រើន រឺនៅក្មេងស្រលាងចោលភ្លាមមួយរំពេច ហើយរត់ទៅរើសរកប្រុសគំរក់តាម
ថ្នាល់ដែលអិតគុណ និងចរិយា។
១១៨ - ពិតប្រាកដណាស់! នារី សូម្បីដេកទេនសយនារចនាដ៏វិចិត្រប្រណិតគួរជាទីមនោរម្យ ក៏មិនគាប់ចិត្តស្អិតស្មើ
ដោយក្តីភ្លើតភ្លើនរួមខ្នើយដោយប្រុសប្តីគេ ជាគូស្នេហាថ្មីប្លែកមុខ យកផែនដីជាគ្រែក្រាលដោយស្មៅក្រៀមក្រោះ
ជាកន្ទេល។
ថ្ងៃមួយ ភរិយាគោបាលនោះ អង្គុយប្រលែងលេងជាទីរីករាយជាមួយ និងបុត្រទណ្ឌនាយកដោយកាមតណ្ហា។ កំពុង
តែរីករាយដោយក្តីស្នេហា ទណ្ឌនាយកមកដល់ ភរិយាគោបាល ក៏លបយកបុត្រទណ្ឌនាយកនោះទៅលាក់ទុកក្នុង
ជង្រុកភ្លាម ហើយចេញមកសំណេះសំណាលជាមួយទណ្ឌនាយកវិញ និយាយសើច លេងក្អាកក្អាយដោយក្តីប្រតិ
ព័ទ្ធ។ កាលនោះអែង គោបាលជាប្តីនាងនោះត្រលប់ពីឃ្វាលគោមកដល់។ ភរិយាគោបាលឃើញប្តីមកដល់ និយា
យខ្សឹបៗ និងទណ្ឌនាយកថា «នែលោកទណ្ឌនាយក! លោកកាន់តំបងមួយហើយដើរចេញទៅយ៉ាងរហ័យ ធ្វើអាកា
រហាក់ដូចជាក្រោធខឹងណាស់» និយាយរួចហើយទណ្ឌនាយកធ្វើតាមភ្លាម អែគោបាលចូលមកដល់ក្នុងផ្ទះសួរប្រពន្ធ
ថា «ទណ្ឌនាយកនេះក្រោធខឹងរឿងអ្វីខ្លាំងម៉្លេះ?» ភរិយាគោបាលឆ្លើយប្រាប់ថា «លោកទណ្ឌនាយក លោកខឹងនឹង
កូនលោក ខ្ញុំមិនដឹងជាមានហេតុអ្វីដែរ កូនលោកនោះរត់ចូលមកជ្រកក្នុងផ្ទះយើង អិលូវខ្ញុំជួយ យកទៅលាក់ក្នុង
ជង្រុករក្សាទុកទៅហើយ លោកទណ្ឌនាយកចូលមកក្នុងផ្ទះយើង រកកូនលោកមិនឃើញ ខឹងណាស់មុខក្រញូវ
ដើរចេញទៅវិញទៅ»។ ពេលនោះភរិយាគោបាល ចូលទៅនាំយកបុត្រទណ្ឌនាយកនោះចេញពីជង្រុកមកបង្ហាញ
ប្តីព្រោះថា៖
១១៩ - បុគ្គលគប្បីជ្រាបថា ស្រ្តីបរិភោគអាហារទ្វេគុណ មានប្រាជ្ញាចតុគុណ មានកលមាយាឆគុណនិងបរិភោគ
កាមអដ្ឋគុណ។
ហេតុនោះហើយបានជាខ្ញុំ (ចចកទមនកៈ) ពោលថា «រីហេតុការណ៍ណាមួយដែលកើតឡើងភ្លាមៗដោយមិនដឹង
ខ្លួន» ដូច្នេះជាដើម (លេខ១១៤)។
ចចកករដកៈ ឆ្លើយឡើងថាៈ «អែងនិយាយនេះ តែងមានសេចក្តីពិតហើយ តែធ្វើដូចម្តេចហ៎ះ មេត្រីរាប់អានគ្នា
ទៅវិញទៅមកនៃសត្វទាំពីរនោះ កើតជាប់ជានិស្ស័យស្និទ្ធជិតជាប់លាប់ណាស់ទៅហើយ យើងធ្វើដូចម្តេចទើប
អាចនឹងបំបែកគ្នាចេញបាន?។ ចចកទមនកៈឆ្លើយប្រាប់ថា «យើងរកអុបាយបំបែកអោយទាល់តែបាន ព្រោះថាៈ
១២០ កិច្ចការណាដែលគេអាចធ្វើអោយសំរេចបានដោយអុបាយ កិច្ចការនោះ គេមិនបាច់ប្រើកំលាំងព្យាយាមទេ
ព្រោះប្រើអុបាយដោយខ្សែកជាវិការៈនៃមាស ក្អែកសំលាប់ពស់វែកបាន»។ ចចកករដកៈសួរថា «ចុះរឿងនោះដូច
ម្តេច?» ចចកទមនកៈនិយាយរឿងនោះថា
កថាទី៨
រឿងក្អែកញីឈ្មោល និង ពស់
មានក្អែកញីឈ្មោលមួយគូ អាស្រ័យនៅលើដើមឈើមួយដើម ក្នុងព្រង់ដើម ឈើនោះមានពស់វែកមួយ។ ពស់
នោះវាតែងតែចាប់កូនក្អែកស៊ីជាចំណីអាហារ។ តមកក្អែកញីរកកល់ពងទៀតនិយាយទៅកាន់ប្តីថា អ្នកបងជាទីពឹង!
គួរយើងលះបង់ចោលដើមឈើនេះទៅ ហើយហើរទៅរកដើមឈើអែទៀតអាស្រ័យនៅវិញ ព្រោះដើមឈើ
ជាទីលំនៅយើងនេះប្រកបដោយភ័យ ពស់វែកចង្រៃនេះវាចេះតែចាប់កូនយើងស៊ីញយៗ តទៅយើងអស់មានកូន
ចៅតពូជពង្សទៀតហើយ ព្រោះថា
១២១ - ភរិយាចិត្តអាក្រក់សាមាន្យ មិត្តជាសត្រូវ អ្នកបំរើប្រហើនពោលពាក្យតប នៅក្នុងផ្ទះមានពស់
ទាំងអស់នេះ លោកថា សុទ្ធតែម្រឹត្យុអិតសង្ស័យឡើយ។
ក្អែកឈ្មោលនិយាយតបវិញថា «នែប្អូនសំលាញ់! ប្អូនកុំថប់អ្វីទុកងារអោយបង រឿងនេះ បងខំទ្រាំទល់ទុក្ខវេទនា
ចំពោះកំហុសធំនៃពស់វែកនេះមកជាច្រើនដងច្រើនគ្រាណាស់ហើយ អិលូវនេះ បងអត់ទ្រាំទៅទៀតមិនបានទេ»។
ក្អែកញីនិយាយ នឹងក្អែកឈ្មោលថា «ចុះអ្នកបងធ្វើដូចម្តេចទៅហ៎ះ បើពស់នេះវាមានកំលាំងខ្លាំង ជាងយើងម្លេះ?
អ្នកបងអាចហ៊ានទៅតនឹងវាបានរឺទេ?»។ ក្អែកឈ្មោលឆ្លើយថា រឿងនេះប្អូនកុំឆ្ងល់ធ្វើអ្វី នៅអោយស្ងៀមទៅ
ព្រោះថា៖
១២២ នរជនមានប្រាជ្ញា នរជននោះនោះឈ្មោះថាមានកំលាំង អែនរជនមិនមានប្រាជ្ញា នឹងមានកំលាំងមកពីណា!ចូរ
មើល សឺហៈជោរឡើងចាងត្រូវទន្សាយសំលាប់បាន។
ក្អែកញី សើចចំអកហើយសួរថា «ចុះរឿងនោះ តើដូម្តេច?» ក្អែកឈ្មោលនិយាយរឿងរ៉ាវនោះប្រាប់ថា៖
កថាទី៩
រឿងសីហៈ និងទន្សាយ
នៅភ្នំមន្ទរ មានសីហៈមួយឈ្មោះទុទាន្ត។ ទុទាន្តតែងចាប់បសុសត្វទាំងឡាយច្រើន សំលាប់ស៊ីជាចំណីអាហាររាល់
ៗថ្ងៃ។ សព្វសត្វទាំងឡាយភិតភ័យណាស់ បបួលគ្នាមកប្រជុំរិះគិតរកអុបាយ ហើយចូលទៅអង្វរករសីហៈថា «បពិត
លោកជាស្តេចម្រឹគ ហេតុអ្វីក៏លោកចាប់សំលាប់បំផ្លាញបសុសត្វបរិភោគជាអាហារម្តងៗ ច្រើនដល់ម្លេះ? បើ
លោកជ្រះថ្លាយល់ព្រមតាមគំនិតយើង យើងខ្ញុំនឹងបញ្ជូនបសុសត្វមួយរាល់ៗថ្ងៃ ជាគ្រឿងបណ្ណាការមកជូនដើម្បី
ជាអាហារលោក»។ ពេលនោះ ទុទាន្តឆ្លើយឡើងថា «បើអែងទាំងឡាយមានប្រាថ្នាដូច្នោះ អញត្រេកអរណាស់ហើ
យអែងធ្វើតាមបំណងអែងចុះ តាំងពីពេលនេះតទៅ»។ ចំណេរកាលមក សីហលែងរវល់ចេញទៅបរបាញ់ចាប់ស
ត្វដូចកាលសព្វដងទៀត នៅតែនឹងកន្លែងចាំទទួលបណ្ណាការ គឺបសុសត្វមួយៗដែលម្រឹគទាំងឡាយបញ្ជូនមកអោ
យរាល់ថ្ងៃ។ ថ្ងៃតមកដល់វេនទន្សាយចាស់មួយ ទន្សាយចាស់នោះគិតថា៖
១២៣ - បុគ្គលធ្វើសេចក្តីគោរពអោនលំទោន ព្រោះហេតុតែខ្លាចគេផង ព្រោះតែចង់អោយមានជីវិតរស់នៅផង
ថាបើអាត្មាអញទៀងតែដល់បញ្ចភាពដដែល ប្រយោជន៍អ្វី អាត្មាអញត្រូវធ្វើសេចក្តីកោតក្រែងសីហៈនេះ។
ទន្សាយគិតបណ្តើរដើរបណ្តើរ ទៅសន្សឹមៗបន្តិចៗចូលទៅរកទុទាន្ត។ ពេលនោះ ទុទាន្តដែលមានសេចក្តីស្រេក
ឃ្លានបៀតបៀនខ្លាំងក្រោធច្រលោតខឹង និយាយទ្រគោះបោកបោះទៅអោយទន្សាយថាៈ «យីអានេះ! អាអែងអា
ល័យដើរទៅលេងជាប់នៅអែណាអោយយឺតយូរក្របានមកដល់ហ៎ះ!»។ ទន្សាយលោមទោមអង្វរថា «ទេវៈ! ខ្ញុំបាទ
មិនមានកំហុសទេ កាលខ្ញុំបាទកំពុងដើរមកតាមផ្លូវមានសីហមួយធំណាស់ មកចាប់ឃាត់ខ្ញុំបាទទាំងអំណាច ខ្ញុំបាទនិ
យាយអង្វរករស្បថស្បែចំពោះសីហៈកំណាចនោះថា នឹងត្រលប់ទៅជួបវិញ សូមតែអនុញ្ញាតិអោយខ្ញុំបាទ ចូលមក
ជំរាបលោកម្ចាស់ក្នុងទីនេះ អោយបានជ្រាបជាមុនសិន ព្រោះហេតុនេះ បានជាយឺតយូរក្របានមកដល់ឆាប់»។ ទុទា
ន្តបានស្តាប់ហើយ ក្រេវក្រោធឆេវសួរតបទៅវិញទាំងកំរោលថា «បើដូច្នោះ អាអែងនាំអញទៅបង្ហាញអោយឆាប់
អិលូវនេះ តើអាព្រហើនកោងកាចនោះវានៅអែណា?»។ ពេលនោះទន្សាយក៏នាំសីហៈ ទ្រនង់នោះ ទៅបង្ហាញអ
ណ្តូងជ្រៅស្រលូងមួយ លុះដើរទៅដល់អណ្តូងនោះហើយ និយាយប្រាប់ថា «សូមលោកម្ចាស់អញ្ជើញទៅមើលខ្លួន
អែងចុះ វានៅក្នុងអណ្តូងនោះអែង»។ អែទុទាន្ត ដើរចូលទៅជិតក្រលេកមើលក្នុងអណ្តូងឃើញស្រមោលខ្លួន សំ
គាល់ថាជាសីហៈមួយធំសំបើមអស្ចារ្យ ក្នាញ់ខ្លាំងណាស់ ដំឡើងប្រែងសំដែងរិទ្ធដ៏ឃោឃៅលោតចុះទៅសង្រ្គុបក្នុ
ងអណ្តូងដោយក្តីទ្រនង់យង់ឃ្នង ក៏ដល់នូវបញ្ចភាព ស្លាប់អៃដ៏កាលនោះទៅហោង។ ហេតុនោះហើយបានជាបង
(ក្អែកឈ្មោល) និយាយប្រាប់ថា «នរជនណាមានប្រាជ្ញា នរជននោះឈ្មោះថា មានកម្លាំង» ដូច្នេះជាដើម(លេខ១២២
)។ ក្អែកញីសួរថា «អើខ្ញុំស្ដាប់អស់អាថិសេចក្តីហើយ តើអ្នកបងគិតធ្វើអុបាយនោះដូចម្តេច? ចូរប្រាប់អុបាយនោះ
អោយខ្ញុំដឹងមើល!»។ ក្អែកឈ្មោលនិយាយប្រាប់ថា «នៅស្រះបោក្ខណីទឹកថ្លាយល់ដី ជិតឋានយើងនេះ មានព្រះរាជ
បុត្រទាំងឡាយតែងយាងចូលមកប្រពាតក្រសាលស្រង់ អុទកវារីលេង សប្បាយរាល់ៗថ្ងៃ ក្នុងស្នានសម័យ (ពេល
មុជទឹក) ស្តេចតែងដោះខ្សែព្រះសូរងជាវិការៈនៃមាសសំរាប់តែព្រះអង្គ ទុកនៅលើផែនថ្មនាឆ្នេរស្រះហើយទើប
ចុះទៅស្រង់ ចូរប្អូនហើរចុះទៅឆក់លួចយក នូវខ្សែព្រះសូរងជាវិការៈនៃមាសនោះដោយចំពុស ហើយនាំយកមក
ទំលាក់ទុកក្នុងព្រង់ដែលពស់ចង្រៃវាអាស្រ័យនៅ»។ ថ្ងៃមួយព្រះ រាជបុត្រទាំងឡាយ ស្តេចយាងមកស្រង់ក្រសាល
អុទកវារី មេក្អែកក៏ធ្វើដូចបានគិតគូរគ្នាទុកមុន។ គ្រានោះអែង ព្រះរាជបុត្រទាំងឡាយ បានទតឃើញមេក្អែកលប
ឆក់យកខ្សែព្រះសូរងដូច្នេះ ស្តេចដេញតាមមេក្អែក ដើម្បីដណ្តើមយកខ្សែព្រះសូរងនោះរហូតទៅដល់ព្រង់ ទៅប្រ
ទះឃើញពស់វែកនោះ ហើយក៏បបួលគ្នាវាយសំលាប់ចោលបង់សៀតទៅហោង។ ព្រោះហេតុនោះបានជាខ្ញុំ (ចច
កទមនក)ពោលថា៖ «កិច្ចការណាដែលគេអាចធ្វើអោយសំរេចបានដោយអុបាយ» ដូចច្នេះជាដើម(១២០)
ចចកករដកៈនិយាយចាក់បណ្តាយថា «បើដូច្នោះចូរអែងទៅចាត់ចែងធ្វើការក្នុង កាលអិលូវនេះទៅ ហើយសូម
អោយបានសំរេចសមប្រកបតាមក្តីប្រាថ្នាកុំបីខានឡើយ»។ លំដាប់នោះអែង ចចកទមនកៈដើរចូលទៅរកបិង្គល
កៈលុះចូលទៅដល់ហើយ លើកទសករប្រណម្យ ទើបពោលពាក្យថា «ទេវៈ! ខ្ញុំបាទសង្កេតឃើញហេតុ ការណ៍ប្រ
កបដោយភ័យធំគួរអោយវិតក្កខ្លាំង ទើបចូលមកជួបលោកជាម្ចាស់ ដោយប្រញាប់ប្រញាល់ ព្រោះថា៖
១២៤ - ក្នុងគ្រាអន្តរាយ រឺក្នុងការដើរខុសគន្លងផ្លូវ រឺក៏ក្នុងការប្រព្រឹត្តិកន្លង អោកាសជាកាលគួរនរជនជាអ្នកធ្វើប្រ
យោជន៍ទូទៅ សូម្បីគេមិនសាកសួរ ក៏គប្បីស្នើ ណែនាំផ្លូវដោយពាក្យជាកល្យាណធម៌។
១២៥ - ព្រះរាជា ជាភាជន៍សំរាប់ត្រងរងនូវភោគសុខ (សេចក្តីសុខដែលកើតមានពីទ្រព្យសម្បត្តិ) មិនមែនជាភាជន៍
សំរាប់ ត្រងរងនូវរាជការទេ កាលបើរាជការវិនាសខូចខាតហើយ មន្រ្តីត្រូវជាប់ទោស។
ក្នុងករណីនេះ សូមលោកជាម្ចាស់ពិចារណាមើលចុះ ក្រមនេះជាវិធីដំណើរការ នៃអាមាត្យទាំងឡាយលោកថា៖
១២៦ ការស៊ូលះបង់ជីវិត ពុំនោះ ការកាត់សិរសាអាមាត្យអោយដាច់ចេញ ជាការគាប់ប្រសើរណាស់ តែអាមាត្យ
មានភក្តីធ្វើព្រងើយ កន្តើយចំពោះអាមាត្យ ក្បត់ដែលប្រុងសំលាប់ម្ចាស់របស់ខ្លួន ដើម្បីធ្វើជាម្ចាស់ផែនដីមិនគាប់
ប្រសើរសោះឡើយ។
បិង្គលកៈត្រេកអរសាទរណាស់ សួរទៅវិញថា «បើដូច្នោះតើអែងត្រូវការនិយាយដូចម្តេចខ្លះ?»។ ចចកទមនកៈនិ
យាយឡើងថា «ទេវៈ! គោសញ្ជីវកៈ សំដែងអាការកិរិយាចំពោះមុខខ្ញុំបាទ មើលទៅហាក់មិនគួរគប្បីដល់លោកម្ចា
ស់សោះ មានពោលពាក្យនិន្ទាទ្រគោះបោកបោះមើលងាយព្រះចេស្តាសក្តានុភាពបីប្រការ (រាជភណ្ឌ៣ប្រការគឺៈ
ប្រភាវៈ មហាអំណាច (ពលានុភាព អំណាចគ្រប់គ្រង តេជានុភាព គុណានុភាព)១ មន្រ្ទៈ មន្រ្ទចំណេះវីជ្ជា១ និងអុ
ស្សាហៈ កំលាំងសក្តានុភាព១) ប្រថ្នាលោភលន់ប្រុងដណ្តើមយករាជសម្បត្តិ»។ បិង្គលកៈបានស្តាប់ពាក្យញុះញង់
នេះ ហើយភ័យតក់ស្លុតនឹកអស្ចារ្យក្នុងចិត្តស្ថិតនៅស្ងៀមមិនចេញស្តីសោះ។ ចចកទមនកៈនិយាយបន្ថែមទៀតថា
«ទេវ! លោកជាម្ចាស់ដកដាលបោះបង់ចោលអ្នករាជការចាស់មុនចោលអស់ ហើយតាំងសញ្ជីវកនេះអោយកាន់
ដំណែងធំអភិបាលសំរេចរាជការផែនដីទាំងអស់ អំពើនេះ ជាទោសធំសំបើមណាស់ ព្រោះថា៖
១២៧ ស្រី (ពាក្យនេះមានន័យច្រើន បាលីថា សិរី ប្រែថា សេចក្ដីរុងរឿង សោភាលំអ សេចក្ដីចំរើន ទ្រព្យ សេចក្ដី
សុខ សម្បត្ដិ ឃ្លាំងទ្រព្យ តេជានុភាព សក្ដានុភាព និងលក្សីដែលជាឈ្មោះទេពតា ទ្រព្យសម្បត្ដិ ) ទ្រទ្រង់នូវមន្រ្តីដែ
លមានសក្តានុភាពខ្លាំង និងម្ចាស់ផែនដីអោយ រឹងជំហរ ហើយយកជើងទាំងពីរទប់ជ្រែង អែស្រីនោះជាស្រ្តីភាពមា
នសមត្ថភាព មិនអាចទប់ទល់នូវភារៈដ៏ធ្ងន់ទាំងពីរអោយប្រព្រឹត្តទៅបានទេ ម្ល៉ោះហើយតោងទំលាក់ភារៈណាមួយ
ចោល ក្នុងភារៈទាំងពីរនោះគឺ ខ្ញុំបាទរឺលោកម្ចាស់។
១២៨ - ក្នុងកាលណាព្រះភូមិបតី ទ្រង់តែងតាំងមន្រ្តីណាមួយជាអែកអគ្គផ្តាច់ការ ក្នុងរាជ្យក្នុងកាលនោះ ក្តីស្រវឹងយ
សតែងហូរចូលទៅគ្របសង្កត់ចិត្តមន្រ្តីនោះដោយអំណាចមោហធម៌ មន្រ្តីនោះអែងរមែងទំលាយបង់នូវការងារ
អោយវិនាស ដោយអំណាចស្រវឹងយស និងក្តីខ្ជិលច្រអូសមិនខាន កាលបើការងារវិនាសហើយ សេចក្តីល្មោភអន្ទះ
អន្ទែងនិងបង្កក្តីចង់បាន កាន់អំណាចដាច់ខាតខ្លួនអែងអោយកើតឡើងក្នុងចិត្តលំដាប់តទៅ ដោយសេចក្តីល្មោភអ
ន្ទះអន្ទែងចង់បានកាន់អំណាចដាច់ ខាតខ្លួនអែងនេះជាមូលហេតុមន្រ្តីនោះនឹងទ្រុស្តធ្វើគតម្ចាស់ខ្លួនអោយដល់ក្តីក្ស័
យប្រាណមិនខាន។
១២៩ - អាហារទទឹកជ្រាបដោយពិសពុល ធ្មេញដែលរង្គើ និងអាមាត្យប្រទុស ទាំងអស់នេះត្រូវកកាយដកចោល
អោយទាល់តែអស់ដល់បាទដល់រិសគល់ ទើបបានសុខ។
១៣០ - ព្រះរាជាអង្គណាប្រគល់ព្រះរាជស្រី(បាលី រាជសិរិ អធិបតេយ្យព្រះរាជ) អោយជាអាយ័តដាច់ខាតដល់មន្រ្តី
ណាហើយ ក្តីវិនាសអន្តរាយនឹងកើតមានប្រាកដក្នុងរឿងនេះព្រះរាជាអង្គនោះ នឹងទ្រង់ផ្ទំកើតទុក្ខសោកសៅក្តៅក្រ
ហាយ ដូចមនុស្សខ្វាក់អិតអ្នកដឹកដៃ។
សញ្ជីវកៈនេះធ្វើកិច្ចការសារពើបរិហារផែនដី តាមតែទំនើងចិត្តវា លោកម្ចាស់ជាបន្ទាល់សាក្សីក្នុងរឿងនេះស្រាប់
ហើយ បានទាំងជ្រាបច្បាស់នូវកិច្ចការទាំងអស់នេះសព្វគ្រប់ផង ព្រោះថា៖
១៣១ បុរសណាមិនចង់បានទ្រព្យ បុរសនោះមិននៅក្នុងលោកនេះទេ ក្នុងលោកនេះ នរណាមួយមិនក្រលេកមើល
ដោយសាទរ ចំពោះប្រពន្ធក្មេងដែលមានរូបល្អគួរជាទីពេញចិត្តនៃជនដទៃ?។
សីហៈពិចារណាមើលមួយស្របក់ ឆ្លើយតបទៅវិញថា «នែសំលាញ់! ពាក្យដែល អែងនិយាយនេះ ពិតមែនហើយ
ទោះបីដូច្នោះគួរនឹកដល់ការកំសត់កម្រដែលយើង នឹងសញ្ជីវកៈនេះបានធ្វើក្តីស្និទ្ធស្នេហាយ៉ាងខ្លាំងមកយូរយាណាស់
ហើយផង អែងចូរមើល! លោកថា
១៣២ - មិត្រណាជាទីស្រលាញ់ពេញចិត្ត បើទុកជាកុហកបោកប្រាសយើងខ្លះមិត្ត នោះនៅតែជាទីស្រលាញ់ពេញ
ចិត្តដដែល ដូចរាងកាយយើង ទោះបីមានរោគាព្យាធិប្រទុសសព្វទាំងអស់ អ្នកណាមួយមិនស្រលាញ់រាងកាយខ្លួន។
១៣៣ - មិត្តណាជាទីស្រលាញ់ពេញចិត្ត សូម្បីធ្វើអោយយើងមិនពេញចិត្តច្រើនយ៉ាង មិត្តនោះនៅតែជាមិត្តជាទី
ស្រលាញ់ពេញចិត្តដដែល ដូចភ្លើង សូម្បីឆេះមន្ទីរមហាសាល អ្នកណាមួយលែងនិយមរាប់អានភ្លើងទៀត?។
ចចកទមនកៈ និយាយថែមទៀតថា «ទេវៈ! រឿងនេះជាទោសកំហុសធំខ្លាំងណាស់ព្រោះថា៖
១៣៤ -ព្រះរាជា ទតព្រះនេត្រដោយក្រៃលែង ចំពោះជនណា ទោះជាព្រះរាជបុត្រក្តី ទោះជាអាមាត្យក្តី រឺក៏ជាជន
បរទេសក្តី លក្សមី(ទ្រព្យ) តែងរត់ចូលទៅជាសិរីនៃជននោះ។ សូមលោកម្ចាស់ស្តាប់ពាក្យនេះតទៅទៀតថា៖
១៣៥ -ការរលត់បង់នូវពាក្យជជែក ដែលមិនជាទីពេញចិត្តតែងនាំមកនូវសេចក្តីសុខ ទីណាមានអ្នកនិយាយ ហើយ
មានអ្នកស្តាប់ទីនោះ ក្តីសំរេចផលគួរជាទីពេញចិត្តតែងកើតឡើង។
ពេលនោះព្រះបាទជាម្ចាស់ដកដាល ខ្ញុំរាជការចាស់ជារិសគល់ចោលអស់ហើយ ទៅតាំងបន្តុបលើកដំកើងជនបរទេ
សអាគន្តុកជាត្រីមុខអោយជាធំជាងពួកខ្ញុំរាជការចាស់វិញ អំពើនេះមិនត្រឹមត្រូវតាមធម៌ទេ ព្រោះថា៖
១៣៦ -ព្រះភូមិបាល មិនគួរគប្បីរាប់អានលើកដំកើងជនបរទេសអានគន្តុកដោយអាងហេតុថា «ខ្ញុំរាជការចាស់ប្រ
ព្រឹត្តខុស» ទេ អំពើនេះជាទោសធំណាស់ព្រោះថា ជនបរទេសយើងនឹងជឿទុកចិត្តបានថាមិនទំលាយរាជសម្បត្តិ
អោយវិនាសរឺអ្វី?។
សីហៈនិយាយទទឹងទាស់ថា «ពាក្យអែងនេះ ប្លែកអស្ចារ្យណាស់មិនមែនរឺអ្វី? សញ្ជីវកៈនេះយើងបានអោយអភ័យ
ហើយនាំយកមកទំនុកបំរុងអោយធ្វើការ អោយមានកិត្តិយស ហេតុដូចម្តេចក៏អែងសំគាល់យល់ថា វាគិតប្រទូស
ក្បត់រាជ្យយើងវិញ?»។ ចចកទមនកៈនិយាយបញ្ជាក់ថា«ទេវៈ!
១៣៧ -មនុស្សទុរជន បើទុកជាលើកតំកើងអោយមានយសសក្តិជានិច្ចក៏ដោយ ក៏នៅតែមិនក្តីស្មោះត្រង់ មិនលះប
ង់ប្រក្រតីដើម ដូចកន្ទុយឆ្កែ សូម្បីគេយកប្រលោប រឹតអោយត្រង់ ក៏មិនលះបង់ចុងងស្ទើតទៅលើដូចប្រក្រតីវា
ឡើយ។
១៣៨ -ធម្មតាកន្ទុយឆ្កែ ទោះជាគេកែ យកប្រេងលាប យកខ្សែចង យកសំពត់រុំ ចងទុកអស់១២ឆ្នាំក៏អិតអំពើ កាល
ណាគេស្រាយចំណងចេញ ក៏ត្រលប់កងកន្ទុយង ក្ងក់ឡើងវិញដូចប្រក្រតីដើម។
១៣៩ -ការបណ្តុះបណ្តាលអោយចំរើន រឺការរាប់អានលើកតំកើងអោយប្រសើរ នឹងអាចញ៉ាំងមនុស្សខ្ជិលខូច ចិត្ត
អាក្រក់អោយត្រេកអរពេញចិត្តដូចម្តេចកើត? ដូចដើមឈើ មានពិសពុល សូម្បីយកទឹកអម្រឹតទៅស្រោចស្រព
ក៏មិនអាចត្រលប់ ចេញផ្លែគួរជាទីប្រាថ្នាបានដូច្នោះដែរ។ ព្រោះហេតុនោះបានជាខ្ញុំនិយាយថា៖
១៤០ -នរជនមិនចង់អោយកល្យាណមិត្តបានសេចក្តីវិនាស សូម្បីកល្យានមិត្តនោះ មិនសួរមុន ក៏គួរគប្បីប្រាប់អុបាយ
អោយកើតប្រយោជន៍ដែរ នេះជាធម៌នៃលោកសប្បុរសទាំងឡាយ បើពុំនោះទេ នរជននោះនឹងធ្លាក់ក្នុងគតិនៃជន
មានមតិថោកទាប (សេចក្តីដូចលេខ១២៤)។
១៤១ -នរជនណា ឃាត់ហាមមិនអោយធ្វើអំពើអកុសល នរជននោះឈ្មោះថា ជាមិត្តនាំអោយរិតតែរុងរឿង កម្ម
ណាប្រាសចាកមន្ទិល គឺពាក្យតិះដៀល កម្មនោះឈ្មោះថាជាកម្មបរិសុទ្ធប្រពៃ ស្រីណាប្រព្រឹត្តកាមឆន្ទៈស្វាមី ស្រី
នោះឈ្មោះថាជាភរិយា នរជនណាមានសប្បុរសទាំងឡាយគោរពបូជាសរសើរ នរជននោះឈ្មោះថាបណ្ឌិត ធម្មជា
តិណាមិនធ្វើអោយស្រវឹងសៅហ្មង ធម្មជាតិនោះឈ្មោះថាជាសិរី នរជនណារួចពីខ្ញុំតណ្ហា នរជននោះឈ្មោះថាជា
បុគ្គលមានសេចក្តីសុខ នរជនណាស្មោះត្រង់តាមប្រក្រតី នរជននោះឈ្មោះថាជាមិត្ត នរជនណាទូន្មានអិន្រ្ទីយបាន
នរជននោះឈ្មោះថាជាបុរស។
រឿងនេះ ថាបើលោកម្ចាស់មិនព្រមត្រលប់ស្មារតី បណ្តោយអោយសញ្ជីវកៈធ្វើ គតអោយរលត់ផុតជីវិត វិនាស
ទាំងដែលទ្រង់បានជ្រាបរួចហើយ កំហុសដូច្នេះមិនមែនជាទោសអាមាត្យមុខមន្រ្តីខ្ញុំបំរើទេ ព្រោះថា៖
១៤២ - ព្រះនរបតី ជាប់ព្រះទ័យស្អិតក្នុងកាម មិនគយគន់មើលកិច្ចការរាជការ និងផលប្រយោជន៏ប្រទេសជាតិប្រ
ព្រឹត្តធ្វើតាមតែទំនើងព្រះទ័យ ស្រវឹងពន់ពេក ក្រៃដូចដំរីចុះប្រេង កាលតមកទ្រង់កើនមានៈក្ស័ត្រគ្របសង្កត់ធ្លាក់
ព្រះអង្គទៅក្នុងជ្រោះជ្រៅ គឺសេចក្តីសោកសល្យហើយ ទ្រង់តែងដាក់ទោសទំលាក់ខុសមកលើអាមាត្យមុខមន្រ្តី
មិនបាននឹកនាដល់ទោសពៃរ៍កំហុសកន្លងវិន័យព្រះអង្គឡើយ។ បិង្គលកៈនឹកតែក្នុងចិត្តថា៖
១៤៣ - ព្រះរាជា មិនត្រូវជាក់ទណ្ឌកម្មដល់ជនដទៃៗដោយអាងយកតែពាក្យពាល បង្ខុសនៃជនអែទៀតឡើយ គួរ
គប្បីសាកសួរអោយឃើញទោសប្រច័ក្សដោយខ្លួនសិន សឹមត្រូវចាប់ចងដាក់ទោស រឺពុំនោះត្រូវបូជា។
១៤៤ - នរជន មិនបានពិចារណាគុណនិងទោសអោយឃើញម៉ត់ចត់តាមវិធីមុនសិនទេ មិនគួរអាណិតលើកលែង
រឺដាក់ទោសទ័ណ្ឌទេ ដូចការមើលងាយយកដៃលូកទៅក្នុងមាត់ពស់ ឈ្មោះថា យកក្តីវិនាសមកអោយខ្លួនអែងពិត
អិតសង្ស័យឡើយ
នឹកឃើញដូច្នេះហើយ ទើបបិង្គលកៈប្រកាសខ្លាំងៗថា «បើដូច្នោះត្រូវហៅសញ្ជីវកៈអោយចូលមកនឹងប្រាប់អោ
យដឹងខ្លួនរឺអ្វី?»។ ចចកទមនកៈ ឆ្លើយដោយប្រញាប់ថា «ទេ!ទេ!មិនបានទេ!ធ្វើដូច្នេះនាំអោយគេអែងដឹងលឺច្រើន
បែកការសំងាត់ អស់ហើយ ព្រោះលោកថា៖
១៤៥ ពូជគឺការសំងាត់នេះសូម្បីតែបន្តិច បុគ្គលគប្បីលាក់ទុកដោយប្រពៃ គប្បីរក្សាដោយម៉ឺងម៉ាត់តាមដែលនឹង
អាចម៉ឺងម៉ាត់បាន បុគ្គលត្រូវប្រយ័ត្នកុំអោយបែកការឡើយ ការសំងាត់នោះបើបែកធ្លាយហើយ មិនដុះដាលបាន
ផលសំរេចទេ។
១៤៦ -ការងារ ដែលត្រូវចាប់ធ្វើ រឺដែលត្រូវបង្គាប់គេ រឺដែលត្រូវធ្វើខ្លួនអែង បើបុគ្គលមិនគប្បីប្រញាប់ប្រញាល់
ធ្វើអោយបានរួសរាន់ទាន់ពេលទេ កាលវេលានឹងជញ្ជក់ក្រេបផឹកស៊ីរសជាតិការងារនោះអស់រលីង។
ព្រោះហេតុនោះ ការងារអ្វីមួយដែលនរជនប្រារព្ធធ្វើហើយត្រូវតែចាត់ការភ្លាមៗ ដោយការប្រយ័ត្នម៉ឺងម៉ាត់ដែល
អាចនឹងប្រយ័ត្នបាន ព្រោះថា៖
១៤៧ -ការសំងាត់ ដូចទាហានមិនមានទឹកមាំមួន សូម្បីមានគ្រឿងក្រោះការពារ សព៌ាង្គកាយបរិបូរណ៌ហើយ ក៏មិន
អាចធន់ទ្រាំនឹងនៅក្នុងកន្លែងអស់កាលយូរបាន ព្រោះក្តីរង្គៀសខ្លាចក្រែង អាចអោយសត្រូវតយុទ្ធទំលាយបាន។
បើទុកជាសញ្ជីវកៈនេះមើលឃើញទៅកំហុសខ្លួន ហើយចូលមកលោកម្ចាស់ សូមអោយលោះលាត្រាប្រណី
អភ័យទោស ក៏មិនគួរគប្បីសំដែងមេត្រីយកជាមិត្ត តទៅមុខទៀតដែរ ព្រោះថា៖
១៤៨ នរជនណា ចង់ចងសម្ពន្ធមេត្រីម្តងទៀតចំពោះមិត្តដែលបានប្រទូសរួចម្តងហើយ ជរជននោះអែង ឈ្មោះថា
ទៅកាន់យកម្រឹត្យុតែម្តង ដូចមេសេះ ពផ្ទៃសេះអស្សតរដូច្នោះអែង។
សីហៈនិយាយដោយក្លាហានថា៖ «យើងចង់ដឹងដែរ តើសញ្ជីវកៈនេះវាអាចហ៊ានធ្វើគតដណ្តើមរាជ្យយើងម្ល៉ាទៅ។
ចចកទមនកៈឆ្លើយតមទៅវិញថា៖
១៤៩ នរជន មិនដឹងភាវៈនៃការទាក់ទងនឹងជនដទៃហើយមិនត្រូវគេ្នរចុះមតិសំគាល់សមត្ថភាពគេថាដូចម្តេចឡើយ
ចូរមើល! សមុទ្រក៏ចាលចាញ់តេជដៃ សព្វបើត្រដេវវិចដែរ។ សីហៈសួរថា «ចុះរឿងនោះតើដូចម្តេច»។ ចចកទម
នកៈនិយាយរឿងដូចតទៅថា
កថាទី១០
រឿងត្រដេវវិចញីឈ្មោល និង សមុទ្រ
លើត្រើយសមុទ្រទក្ខិណា មានត្រដេវវិចញីឈ្មោលអាស្រ័យនៅ។ កាលដល់ពេលពង ត្រដេវវិចញីនិយាយទៅកាន់
ត្រដេវវិចឈ្មោលថា «អ្នកបងជាទីពឹង!ខ្ញុំជិតពងហើយ សូមអ្នកបងរៀបចំកាច់សំបុកទុកពងក្នុងទីដទៃ អោយបាន
សុខស្រួលជាងនេះ»។ ត្រដេវវិចឈ្មោលសួរតបទៅវិញថា «ហៃអូន! ទីនេះមិនសមគួរនឹងពងរឺអ្វី ?»។ ត្រដេវវិចញី
ឆ្លើយប្រាប់ថា «ទីនេះប្រកបដោយភ័យធំ រលកសមុទ្រអាចបោក មកផាត់យកពងយើងទៅបាន» ត្រដេវវិចឈ្មោល
និយាយដោយការមើលងាយថា «យី! អីបងអិតកំលាំងតស៊ូ បណ្តោយអោយរលកសមុទ្របោកយកពងទៅបាន?»
ត្រដេវវិចញីអស់សំណើច សើចហើយឆ្លើយតបថា «នែអ្នកស្វាមី! ចុះអ្នកបងនិង សមុទ្រអ្នកណាធំជាអ្នកណា?
ព្រោះថា៖
១៥០ - នរជនណាដឹងច្បាស់ថាគួរ រឺមិនគួរប្រកបដើម្បីកំចាត់បង់នូវសេចក្តីវិនាស នរជននោះកាលដឹងថា «ទីនេះមា
នអន្តរាយ» ដូច្នេះហើយ មិនលិចលង់ផុងគំនិតនាំអោយវិនាស ក្នុងគ្រាក្រទុក្ខលំបាកឡើយ។
១៥១ - ការប្រារព្ធធ្វើការងារដែលមិនគួរធ្វើ១ ការទាស់ទែងខ្វែងគំនិតបងប្អូនអែង១ ការប្រណាំងប្រជែងតស៊ូអ្នក
មានកំលាំងជាង១ ការទុកចិត្តស្រ្តីទាំងឡាយ១ ទាំង៤ ប្រការនេះឈ្មោះថាបើកទ្វារអោយដល់ម្រឹត្យុទាំងរស់»។
កាលនោះអែង ត្រដេវវិចញី ប្រកែកមិនឈ្នះត្រដេវវិចឈ្មោលក៏ព្រមពងនៅលើឆ្នេរសមុទ្រនោះទាំងសេចក្តីទុក្ខ
ព្រួយ។ កាលដែលបក្សីញីឈ្មោលជជែកគ្នា សមុទ្របានស្តាប់អស់អាថិសេចក្តីតាំងពីដើមដល់ចុង ក៏ចង់ដឹងសក្តា
នុភាពសត្វញីឈ្មោលនោះ ទើបផាត់រលកធំៗមកបោកយកពងអស់ទៅ។ លំដាប់នោះ ត្រដេវវិចញីកើតទុក្ខសោក
សៅ ទង្គឹះខ្សឹកខ្សួលក្តៅចិត្ត យំបណ្តើរនិយាយប្រាប់ស្វាមីបណ្តើរថា «នែ អ្នកបងជាទីពឹង! ម៉េចមិនជឿពាក្យខ្ញុំ អិលូ
វនេះ ក្តីទុក្ខធ្លាក់មកដល់យើងហើយ ពងវិនាសអន្តរធានបាត់អស់រលីង»។ ត្រដេវវិចឈ្មោលឆ្លើយតបដោយអួតអា
ងថា «អូនអើយ! ប្អូនកុំភ័យបារម្ភថ្វីទុកងារអោយបងចុះ» និយាយដូច្នេះហើយស្រែកកញ្ជៀវ ខ្ញៀវខ្ញាហាហៅហ្វូងប
ក្សីទាំងឡាយ អោយចូលមកប្រជុំផ្តុំគា្នបានស្រេចកាលណា ក៏ហិចហើរទៅកាន់សំណាក់គ្រុឌជាស្តេចបក្សី លុះទៅ
ដល់ទីឋានគ្រុឌហើយ ត្រដេវ វិចឈ្មោលនិយាយរៀបរាប់ព្រឹត្តិការណ៍ទាំងអស់ ប្តឹងគ្រុឌបក្សាដ៏មានបុណ្យដែលជា
ស្តេចគ្រប់គ្រងរក្សាពពួកបក្សី អោយដឹងសេចក្តីសព្វគ្រប់ប្រការថា «ទេវៈ!ខ្ញុំបាទ បានតាំងទីឋានកាច់សំបុកទុកពង
អាស្រ័យនៅឆ្នេរសមុទ្រ មិនបានប្រព្រឹត្តឆ្គាំឆ្គងអោយខុសគន្លងធម៌ទេ អិលូវសមុទ្រកំណាចចង្រៃនេះ ផាត់រលក
មកបោកយកពងខ្ញុំបាទ ទៅអស់រលីង ខ្ញុំបាទកើតទុក្ខពុំសុខចិត្តទើបចូលមកក្រាបប្រណិប័តជំរាបព្រះបាទម្ចាស់អោ
យជ្រាប»។ កាលនោះគ្រុឌស្តេចបក្សីបានស្តាប់សំដីត្រដេវវិចប្តឹងដូច្នោះហើយ ចូលទៅក្រាបបង្គំព្រះនរាយណ៍បរ
មអិសូរដ៏ជាកំពូល អ្នកមានបុណ្យស្តេច ជាអ្នកកសាងលោក ជាអ្នកគ្រប់គ្រងលោក និងជាអ្នកប្រល័យលាញលោ
កអោយទ្រង់ជ្រាបតាមដំណើរសេចក្តី។ ព្រះនរាយណ៍ កាត់សេចក្តីអោយសមុទ្រយកពង មកសងត្រដេវវិចឈ្មោ
លវិញ។ គ្រុឌស្តេចបក្សីទទួលទេវអោង្ការតំកល់លើត្បូងទុក ជាទីគោរពហើយត្រលប់វិលមកវិញ មកបង្គាប់សមុ
ទ្រអោយយកពងទៅប្រគល់ អោយបក្សីញីឈ្មោលវិញក្នុងកាលនោះហោង។ ព្រោះហេតុនោះអែងបានជាខ្ញុំបាទ
(ចចកទមនកៈ)ជំរាបថា «នរជនមិនដឹងភាវៈនៃការទាក់ទងជនដទៃហើយ»ដូច្នេះជាដើម(លេខ ១៤៩)
សីហៈបិង្គលកៈ សួរបញ្ជាក់ថា «ធ្វើម្តេចយើងគប្បីដឹងបានថាសញ្ជីវកៈមានគំនិតក្បត់យើង?»។ ចចកទមនកៈ និយា
យដំណើរទំនងប្រាប់ថា «សញ្ជីវកៈនេះជាសត្វព្រហើនណាស់ កាលណាវាចូលមកទេវបាទម្ចាស់ វាសំដែងអាការធ្វើ
ហាក់ជាគោរពកោតក្រែង ហើយបង្ហាញស្នែងតំរង់ទៅមុខ កាលនោះទេវបាទម្ចាស់គង់ជ្រាបមិនខាន»។ ចចកនិ
យាយហើយដើររលះលាំងចូលទៅរកសញ្ជីវកៈបង្ហាញអោយសញ្ជី វកៈមើលឃើញខ្លួន ធ្វើទឹកមុខស្រងូតហាក់ជា
មានភ័យធំខ្លាំងណាស់។ អែគោសញ្ជីវកៈមើលឃើញចចកត្រេកអរសាទរណាស់ សួរចៅរ៉ៅទៅថា «ហៃបងចចក
ដ៏ចំរើនអើយ! មានការអ្វីរលះលាំងដូច្នេះ រឺមួយសុខសប្បាយជាទេហៈ?» ទមនកៈឆ្លើយដោយអុបាយថា «អោលោ
កអើយ! ធម្មតាធ្វើជាខ្ញុំបំរើរាជការផែនទឹកផែនដីរកក្តីសុខ សប្បាយមកពីណា ព្រោះថា៖
១៥២ នរជនណាធ្វើជារាជសេវកាមាត្យ នរជននោះត្រូវតែពឹងសម្បត្តិដែលនៅក្នុងអំណាចនៃជនដទៃ មានចិត្តមិន
ដែលបានស្ងប់ក្សេមក្សាន្តល្ហែល្ហើយទេ ព្រមទាំងមិនទុកចិត្តក្នុងជីវិតខ្លួនថែមទៀតផង។
១៥៣ នរណាបានទ្រព្យសម្បត្តិហើយ មិនឡើងចាង? នរណារលុះក្នុងអំណាចវិស័យខ្លួន ហើយអាចរលត់ក្តីទុក្ខទោ
សអន្តរាយបាន? លើផែនដីនរណាមានចិត្តរឹង មិនធ្លោយខ្លួនដួលព្រោះស្រ្តី? មួយទៀតនរណាជាទីស្រលាញ់នៃព្រះ
រាជា? ក្នុងលោកនេះ នរណាមានអំណាចខ្លាំង មិនចូលទៅក្នុងកណ្តាប់ដៃនៃព្រះកាល? នរណាជាអ្នកសូមទានហើ
យបានដល់ក្តីគោរពដ៏ខ្ពង់ខ្ពស់? មួយវិញទៀតនរណាដែលធ្លាក់ខ្លួនទៅក្នុងអន្ទាក់នៃទុរជនហើយបានត្រលប់ជាបុរស
បរិបូណ៌ដោយក្តីក្សេមក្សាន្ត?។
សញ្ជីវកៈសួរដោយងឿងឆ្ងល់ថា «បងសំលាញ់អើយ! បងនិយាយនេះតើចង់ថាដូចម្តេច?»។ ចចកទមនកៈឆ្លើយប្រា
ប់ថា៖ «ចុះអោយខ្ញុំ ជាបុគ្គលមានបុណ្យតិច សក្តិតូចប្រាប់ដូចម្តេចទៅទៀតចូរមើល! លោកថា៖
១៥៤ - ខ្លួនខ្ញុំនេះ ដូចជាបុគ្គលលិចលង់ក្នុងមហាសមុទ្រ មានតែពស់កាចសំរាប់ តោង និងលែងក៏មិនកើតនឹងប្រ
តោងកាន់ពស់ទៅទៀតក៏មិនកើត ពេលនេះលំបាកចិត្តខ្វល់គំនិតខូចអស់ហើយដូចអ្នកតោងពស់ដូច្នោះអែង។
១៥៥ - មួយចំណែក ក្តីស្និទ្ធស្នាលចំពោះព្រះរាជា វិនាសអស់ហើយ មួយចំណែកទៀត ក្តីស្និទ្ធស្នាលចំពោះញាតិស
ន្តាន ក៏វិនាសដែរ អោយរូបខ្ញុំធ្វើដូចម្តេច?អោយ រូបខ្ញុំទៅអែណា ខ្លួនខ្ញុំដូចជាធ្លាក់ក្នុងកណ្តាលសមុទ្រសាគរ គឺក្តីទុ
ក្ខស្រេចទៅហើយ។
ចចកនិយាយបណ្តើរដកដង្ហើមធំឃូរវែងៗបណ្តើរ ហើយអង្គុយធ្វើមុខក្រៀមផ្អេះ។ សញ្ជីវកៈអង្វរសួរថា «បង
សំលាញ់! ចូរបងប្រាប់អោយជាក់លាក់មកមើល! ក្នុងចិត្តបងតើមានគិតអ្វីខ្លះ?»។ ចចកធ្វើអាការហាក់ដូចជាតូច
ចិត្តណាស់ អោនទៅជិតត្រចៀកហើយនិយាយខ្សឹបបន្តិចៗប្រាប់គោថា «មែនពិត បើតាមក្តីសិ្នទ្ធស្នាលចំពោះ
ព្រះរាជា ខ្ញុំមិនគួរយករឿងអាថិកំបាំងព្រះអង្គមកនិយាយបរិហារអោយគេអែងដឹងលឺទេ តែដូចរូបបងខ្ញុំនឹងលាក់
លៀមមិនកើតព្រោះបងបាននៅក្នុងទីនេះក៏ដោយសារខ្លួនខ្ញុំនាំមកដែរ អែខ្ញុំក៏ចង់បានអានិសង្សទៅកើតក្នុងឋាន
សួគ៌គួរតែស្រាយអាថ៌កំបាំងជាប្រយោជន៍ប្រាប់អោយដឹងមុន សូមបងស្តាប់មើល! ម្ចាស់យើងប្រែចិត្តចេញពីបង
ហើយ បាននិយាយរហស្យការប្រាប់ខ្ញុំដោយសំងាត់ថា «អញបំរុងនឹងសម្លាប់សញ្ជីវកៈយកសាច់ស៊ីនិងចែកចាយ
បរិវារអោយស៊ីចំអែតផ្ទៃហើយ» សញ្ជីវកៈបានស្តាប់ពាក្យនេះហើយ ធ្លាក់ទឹកមុខជ្រុបតូចចិត្តក្រៀមក្រំដំអោរា។
ចចកធ្វើលួងលោមនិយាយរំលឹកថា «ណ្ហើយបងសំលាញ់! កុំកើតទុក្ខតូចចិត្តធ្វើអ្វី ធ្វើម្តេចសំណាងយើងត្រូវតែ
ត្រិះរិះពិចារណារកអុបាយកែខៃតាមការគួរ កាលបើមានគ្រោះកាចចង្រៃធ្លាក់មកដល់»។ គោសញ្ជីវកៈត្រិះរិះមើល
មួយស្របក់ហើយ យល់សេចក្តីផ្សេងតែម្នាក់អែងថា «កិច្ចការដូច្នេះក៏អាចកើតមានដែរ តែពាក្យនេះទំនងជាអា
កប្បកិរិយាចចកទុរជន រឺមិនមែនទេដឹង? ដំណើរនេះនរណាក៏មិនគប្បី អាចនឹងយល់សេចក្តីចំពោះអំពើដូច្នោះបាន
ឡើយ ព្រោះថា៖
១៥៦ -ដោយច្រើន នារីទាំងឡាយតែងចូលចិត្តសេពគប់ទុរជន ព្រះរាជាតែងសព្វ ព្រះទ័យអាមាត្យមិនមានគុណស
ម្បត្តិ ទ្រព្យសម្បត្តិតែងហូរទៅរកតែជនកំណាញ់ អែភ្លៀងតែងបង្អុរចុះតែលើភ្នំ និង មហាសមុទ្រ។
១៥៧ -ជនអសប្បុរស តែងទទួលរស្មីសោភាដែលផ្សាយចេញពីគុណសម្បត្តិនៃ អភិជនដែលខ្លួនអាស្រ័យនៅដូច
អញ្ជនៈ(ជ័រពណ៌ខ្មៅសំរាប់លាបរោមចិញ្ចើមអោយខ្មៅរលោងស្រិល)ខ្មៅក្រខ្វក់ពីកំណើត កាលបើទៅឋិតលើ
រោមចិញ្ចើមនៃស្រ្តីល្អហើយ ក៏ត្រលប់ជារបស់រុងរឿង»។ (ហិតោបទេស សេចក្តីប្រែរបស់លោកឡង់សឺរូ និងភា
សាសៀមរបស់លោកនាគប្រទីបមានគាថា លើសដូច្នោះគឺ ព្រះលក្សមីតែងប្រទានកិត្តិយសចំពោះតែជនថោកទា
បព្រះសូរ សួស្តីតែងប្រោសប្រាណចំពោះតែជនសក្តិតូច នារីតែងស្រលាញ់ពេញចិត្តចំពោះតែទុរជន អែព្រះអិន្ទ(ម្ចា
ស់ភ្លៀង) តែងបង្អុរភ្លៀងតែលើកំពូលភ្នំ)
គោសញ្ជីវកៈត្រិះរិះគិតមើលសារចុះសារឡើង មួយស្របក់ហើយពោលថា «អនិច្ចាអោកម្មអាក្រក់ចង្រៃ! ចុះហេ
តុដែលនាំអោយវិបត្តិនេះកើតមកពីណាអេះ!ព្រោះថា៖
១៥៨ -ព្រះនរបតី សូម្បីអាមាត្យប្រតិបត្តិការដោយប្រយ័ត្នប្រែយងដ៏ក្រៃលែង ក៏មិនសព្វព្រះទ័យត្រេកអរប៉ុន្មាន
តែរឿងនេះនឹងទុកថាប្លែកដូចម្តេចកើត? អែអាមាត្យណានិមួយដែលគោរពភក្តីដោយល្អហើយក៏ត្រលប់បានភាព
ជាសត្រូវវិញនេះ ទើបហៅថាប្លែកអស្ចារ្យមែន។ ដំណើរនេះ នរជនណាមួយក៏មិនគប្បីអាចយល់សេចក្តីបានងាយ
ទេព្រោះថា៖
១៥៩ - មែនពិត នរជនណាកាន់យកហេតុណាមួយជានិមិត្តហើយទើបក្រេវក្រោធ នរជននោះ កាលបើកំចាត់បង់
ហេតុនោះបានហើយនឹងបាត់ក្រេវក្រោធហើយ កើតក្តីជ្រះថ្លាភ្លាម បើចិត្តនរជនណា ក្រេវក្រោធស្អប់ដោយមិនមា
នហេតុធ្វើដូចម្តេចហ្ន៎ នឹងញ៉ាំងចិត្តនរជននោះអោយស្ងប់ហើយអោយត្រេកអរបាន?។
អាត្មាអញធ្វើអំពើអ្វីខ្លះក្បត់ព្រះរាជា? រឺមួយព្រះរាជាទ្រង់ក្រេវក្រោធដោយព្រះទ័យអាក្រក់ប្រាសចាកហេតុផល?»
។ ចចកទមនកៈ ឆ្លើយស្របតបវិញថា «អើ!រឿងនេះ ក៏អាចកើតមានយ៉ាងនេះបានដែរ ចូរបងស្តាប់សុភាសិតនេះ
តទៅ៖
១៦០ - អាមាត្យខ្លះជាអ្នកប្រាជ្ញ ជាអ្នកស្វាមីភក្តិស្និទ្ធស្នេហាធ្វើអុត្តមប្រយោជន៍ចំពោះព្រះរាជាពិតៗ ត្រលប់ជាបាន
ក្តីស្អប់ខ្ពើមវិញក៏មាន អាមាត្យខ្លះទៀតក្បត់ព្រះរាជាដោយប្រច័ក្សលាំងៗ ត្រលប់ជាបានមេត្រីទៅវិញក៏មាន អោ
ចរិតនៃព្រះរាជា ជាទីជ្រកកោននៃជននេះប្លែកអស្ចារ្យច្រើនប្រការអ្វីម្លេះហ្ន៎! សេវាធម៌ (នាទីនៃអាមាត្យ)នេះមា
នប្រស្នារញ៉ិករញ៉ុកសាំញ៉ាំស្នុកស្មាញណាស់ សូម្បីព្រះយោគី មានរិទ្ធិ ក៏មិនអាចប្រតិបត្តិអោយល្អបរិបូណ៌បានឡើ
យ។
១៦១ - ធ្វើគុណដល់អសប្បុរស១០០ដង មិនបានផល និយាយពាក្យសុភាសិតដល់មនុស្សល្ងង់១០០ដងអិតអំពើ និយា
យពាក្យពិរោះដល់មនុស្សគ ១០០ដង អិតប្រយោជន៍ ប្រើអុបាយប្រាជ្ញា១០០ដង ចំពោះជនអិតការត្រិះរិះពិចារណា
ក៏មិនបានការ។
១៦២ - នៅលើដើមចន្ទន៍ មានពស់ នៅក្នុងត្រពាំងដែលដេរដាសដោយផ្កាឈូក មានក្រពើ នៅក្នុងភោគទ្រព្យ មាន
ជនពាលជាអ្នករុកកួនឈ្នានីស ក្នុងលោកនេះ សេចក្តីសុខ ប្រាសចាកការថ្នាំងថ្នាក់ចិត្តមិនដែលមានសោះឡើយ។
១៦៣ - នៅគល់ដើមចន្ទន៍ មានអសិរពិស នៅផ្កាចន្ទន៍ មានមេឃ្មុំកាច នៅមែកចន្ទន៍ មានពានរ នៅចុងដើមចន្ទន៍
មានខ្លាឃ្មុំ ដូច្នេះនៅដើមចន្ទន៍ទាំងមូល អិតមានផ្នែកត្រង់ណា ដែលមិនមានសត្រូវចង្រៃអាក្រក់អាស្រ័យនៅទេ។
ស្តេចយើងខ្ញុំស្គាស់លក្ខណៈគ្រប់ ព្រះបន្ទូលពិរោះផ្អែមដូចទឹកឃ្មុំ តែព្រះទ័យ ពេញពោរដោយពិសពុល ព្រោះថា៖
១៦៤ - ហុចដៃបក់ហៅពីចំងាយ ភ្នែកក្រលេកមើលដោយអាការស្រលាញ់ពេញចិត្ត ហៅអោយអង្គុយអសនៈរួម
ជាមួយពាក់កណ្តាលម្នាក់ លូកដៃទៅត្រកងអោបដោយក្តីស្នេហា សំដែងការអើពើចៅរ៉ៅសាកសួរដោយវាចាជា
ទីស្រលាញ់ពេញចិត្ត តែខាងក្នុងចិត្តពេញដោយពិសពុល ខាងក្រៅ ទឹកសំដីផ្អែមដូចទឹកឃ្មុំ ស្ទាត់ជំនាញក្នុងកលោ
បាយឆបោក (នយោបាយ) អុនាដកវិធី (វិធីអ្នករាំ កិច្ចកលអុបាយអ្នករាំ) បែបថ្មីអ្វីនេះ ពួកទុរជនសិក្សា យកមក
ប្រើជាល្បែងបានហ្ន៎?។
១៦៥ - សំពៅ គេសាងសំរាប់ឆ្លងសមុទ្រសាគរ ដែលគេឆ្លងបានដោយក្រ ប្រទីបគេសាងសំរាប់អុជទ្រោលបំភ្លឺក្នុង
ពេលងងឹតអន្ធការ វិជនី គេធ្វើសំរាប់បក់ក្នុងពេលមិនមានខ្យល់ កង្វេរ គេធ្វើសំរាប់ហ្វឹកហ្វឺនដំរីកាចទ្រនង់ងងឹតមុខ
ដោយចុះប្រេង ដូច្នេះនៅលើភូតលនេះ មានរបស់អ្វីមួយដែលអ្នកកសាងលោកមិនបានកសាង ទុកអោយជាអុបា
យចិន្តា(អុបាយខាងផ្លូវគំនិតត្រិះរិះពិចារណា នាំអោយយល់សេចក្តី រីអោយយល់កិច្ចការផងទាំងពួងអិតចន្លោះ) ខ្ញុំ
ជឿជាក់ច្បាស់ថា សូម្បីព្រះព្រហ្មដែលបង្កើតលោក ក៏ទំលាក់កំលាំងព្យាយាមចោល ក្នុងការទូន្មានប្រៀនប្រដៅ
សន្តានមនុស្សទុរជន។
គោសញ្ជីវកៈព្រួយបារម្ភតានតឹងក្នុងចិត្តស្ទើរប្រេះទ្រូង ដកដង្ហើមធំឃូរៗវែងៗគិតថា «អោកម្មអាត្មាអញអើយ អ្វីក៏
អាក្រក់ម្លេះហ្ន៎? អាត្មាអញស៊ីតែសន្ទូងជាភក្សាហារ ហេតុអ្វីក៏លោកមកចោទប្រកាន់ហើយប្រាថ្នាសំលាប់ចោល
បង់សៀតដូច្នេះហ្ន៎? ព្រោះថា៖
១៦៦ - ជនពីរផ្នែកណា មានទ្រព្យស្មើគ្នា មានកំលាំងស្មើគ្នាជនពីរផ្នែកនោះ ទើបបរិវាទច្បាំងគ្នាបាន ចុះបើមួយផ្នែ
កមានអំណាចខ្ពង់ខ្ពស់ មួយផ្នែកទៀតថោកទាប អិតអំណាចសោះនាំអោយកើតវិវាទច្បាំងគ្នាបានខ្លះទេហៈ?។
សញ្ជីវកៈជញ្ជឹងគិតហើយគិតទៀតថា «នរណាហ្ន៎ ញុះញង់ស្តេចបិង្គលកៈអោយក្រេវក្រោធ ហើយអោយគុំគួនរក
រឿងប៉ងសំលាប់អាត្មាអញដូច្នេះ? អាត្មាអញគិតពុំយល់ហេតុនេះសោះ។ បើលោកម្ចាស់ក្រេវក្រោធ ហើយប្រាថ្នា
នឹងបំផ្លេចបំផ្លាញអាត្មាអញមែន រឿងនេះគួរភ័យជានិច្ចមែន ព្រោះថា៖
១៦៧ -កាលណាក៏ដោយ ព្រះទ័យព្រះភូមិបាលដែលមន្រ្តីព្រះអង្គបំបែកអោយបែកហើយ តវិញមិនជាប់ទេ ដូចកង
ដៃជាវិការនៃកែវ ផលិតដែលជនអោយបែកហើយ ជនណាហ្ន៎ មានអំណាចអាចតអោយជាប់ដូចដើមវិញបាន?។
១៦៨ -ហេតុដែលគួរអោយភ័យខ្លាចមានពីរប្រការគឺ អស់និបាតនិងតេជានុភាពព្រះរាជា តែអស់និបាត ធ្លាក់តែមួយ
កន្លែង អែតេជានុភាពព្រះរាជាធ្លាក់នៅជុំវិញខ្លួនយើង។ ក្នុងករណីបែបនេះ ថាបើត្រូវស្លាប់ ស្លាប់ក្នុងសង្រ្គាមប្រ
សើរជាជាងអិលូវនេះ មកស្លាប់ដោយប្រើអាជ្ញាយ៉ាងនេះមិនល្អមើលសោះ ព្រោះថា៖
១៦៩ -ស្លាប់ហើយបានកើតក្នុងឋានសួគ៌១ សំលាប់សត្រូវហើយបានសេចក្តីសុខ១ ធម៌២ប្រការនេះអែង ជាធម៌មាន
គុណប្រសើរបំផុត គេធ្វើបានដោយក្រក្រៃលែង មានតែបុរសមានចិត្តក្លៀវក្លាទាំងឡាយទេ ទើបអាចធ្វើបាន។
ពេលនេះ ជាកាលតយុទ្ធគ្នាទៅហើយ នឹងដកថយវិញក៏មិនកើត។
១៧០ -ក្នុងកាលណា បើមិនច្បាំងក៏ទៀងតែស្លាប់ បើច្បាំងមានផ្លូវរួចជីវិតបានក្នុង កាលនោះ ពួកអ្នកប្រាជ្ញតែងសំ
រេចសេចក្តីថា «ត្រូវច្បាំងតយុទ្ធពិតប្រាកដ»។
១៧១ - ថាបើក្នុងកាលណា អ្នកប្រាជ្ញមើលមិនឃើញផ្លូវអ្វីមួយដទៃក្រៅពីការច្បាំងតយុទ្ធទេ ក្នុងកាលនោះលោក
យល់ថាត្រូវតែធ្វើសង្រ្គាមស៊ូស្លាប់ក្នុងដៃសត្រូវ។
១៧២ -បើមានជ័យត្រូវបានទ្រព្យសម្បត្តិ បើបែរជាស្លាប់វិញ ក៏ត្រូវបានជាភស្តា ស្រីទេពអប្សរបវរកញ្ញា កាយយើង
នេះជារបស់ត្រូវបែកធ្លាយទៅក្នុងមួយខណៈ ហេតុអ្វីក៏ញញើតញញើមមិនហ៊ានស្លាប់ក្នុងរណរង្គ?»។
គោសញ្ជីវកៈគិតយ៉ាងនេះរួចហើយ បែរទៅនិយាយប្រាប់ចចកថា «នែសំលាញ់ ធ្វើដូចម្តេចនឹងដឹងថា បិង្គលកៈចង់
សំលាប់ខ្ញុំ»។ ចចកទមនកៈឆ្លើយប្រាប់ថា កាលណាបិង្គលកនេះចងចិញ្ចើមមាំសំលឹងមើលបងអែងដោយភ្នែកមុត
កងកន្ទុយឆ្កែលាក់ក្រញាំក្រចក ហាមាត់បញ្ចេញចង្កូមគួរសំបើម កាលនោះបងត្រូវសំដែងក្តីអង់ អាចហៅហ៊ាន
តស៊ូសីហៈវិញ ព្រោះថា៖
១៧៣ នរជន សូម្បីមានកំលាំង តែអិតតេជៈ បើដូច្នេះម្តេចក៏មិនមានទំនងអោយគេមើលងាយ? ចូរមើល! អ្នកភ្លើ
ងមនុស្សលោកហ៊ានជាន់ក្រោមបាទជើងអិតកោតញញើតទេ។
ទោះយ៉ាងណាក៏ដោយ រឿងទាំងអស់នេះត្រូវលាក់បំបិទបំបាំងអោយជិតកុំអោយលឺសាយភាយឡើយ បើមិនដូ
ច្នោះទេខ្លួនបងរឺខ្លួនខ្ញុំត្រូវវិនាសអន្តកានមិនខានឡើយ។ ទមនកៈនិយាយបង្ការស្កាត់ផ្លូវយ៉ាងនេះរួចស្រេចហើយ
ដើរចេញទៅរកជួបចចកករដកៈ។ ចចកករដកៈឃើញទមនកៈមកដល់ស្រែកសួរថា! «ម៉េចទៅបង អើយ! ការ
នោះសំរេចហើយរឺនៅ!» ចចកទមនកៈឆ្លើយប្រាប់មកវិញថា «សំរេច ហើយវើយ! វាទាំងពីរនាក់នោះបែកបាក់គ្នា
ស្រលះហើយ»។ ចចកករដកៈសួរបញ្ជាក់ទៀតថា «រឿងនេះមានកិច្ចការអ្វីសង្ស័យគួរនាំអោយទាក់ទាមទៀតទេ?
ព្រោះថា៖
១៧៤ - នរណាហ្ន៎ ចង់ចងពន្ធជាមួយមនុស្សទុរជន? នរណាហ្ន៎មិនក្នាញ់បើមានគេសូមញយៗ? នរណាហ្ន៎បានទ្រព្យ
ច្រើនហើយមិនរីករាយ? នរណាហ្ន៎ ជាបណ្ឌិតមិនចាញ់កលក្នុងវិធីទុច្ចរិត?។
១៧៥ - ជនពាលប៉ិនកល អាចញ៉ាំងនរជនដែលមានសិរីអោយប្រព្រឹត្តអាក្រក់បាន ព្រោះមានបំណងចង់ចំរើនបាន
ប្រយោជន៍ខ្លួន ការសេពគប់ជនពាលប៉ិនកលនេះ មិនទុកដូចជាការលេងជាមួយភ្លើងរឺអ្វី»។
លំដាប់នោះ ចចកទមនកៈដើរទៅជួបបិង្គលកៈ ហើយនិយាយប្រាប់ថា «ទេវ! អិលូវនេះ អាគោចង្រៃទុរយសចិត្ត
អាក្រក់វាមកហើយ សូមលោកម្ចាស់រៀបចំត្រៀមខ្លួនទុកអោយស្រេច» និយាយដាស់តឿនដូច្នេះហើយ បង្គាប់
អោយសីហៈបញ្ចេញ ចង្កូមដូចបានពោលខាងដើម។ មិនយូរប៉ុន្មាន គោសញ្ជីវកៈដើរចូលមកដល់ឃើញ សីហៈរៀ
បចំខ្លួនស្រេចដូចចចកប្រាប់ ក៏ចូលទៅប្រយុទ្ធជាញជ័យ។ កាលនោះអែង កើតសង្រ្គាមធំរវាងសីហៈ និងគោសញ្ជីវ
កៈយ៉ាងសំបើមអស្ចារ្យ បិង្គលកៈប្រហារ សញ្ជីវកៈដល់ក្តីស្លាប់ទៅហោង។ កាលធ្វើសង្រ្គាមជាញជ័យសំលាប់គោ
ជាសេវកាមាត្យល្អរួចហើយ សីហៈទើបដឹងខ្លួនថាចាញ់កលចចក កើតសោកសៅសែនស្លុតចិត្តបន្លឺវាចាថា «អនិច្ចា
អាត្មាអញមិនគួរមកធ្វើអំពើទារុណកម្មដូច្នេះសោះព្រោះថា
១៧៦ - រាជ្យខ្លួនអែង នៅក្នុងកណ្តាប់ដៃស្តេចដទៃគ្រប់គ្រង ទុកដូចជាភាជនៈសំរាប់ត្រងនូវបាបអប្បមង្គល ព្រះរា
ជាប្រព្រឹត្តល្មើសច្បាប់ ដូចសីហៈសំលាប់ដំរី (សីហៈសំលាប់ដំរី ទោសធ្លាក់មកលើសីហៈ ព្រោះសាច់ឆ្អឹងដំរីត្រូវបាន
ទៅជាអាហារសត្វដទៃ)។
១៧៧ - ត្រូវអោយវិនាសភាគផែនដីខ្លះ រឺក៏ត្រូវអោយវិនាសអាមាត្យដែលមានគុណសម្បត្តិ និងប្រាជ្ញា? ការវិនាស
អាមាត្យទុកដូចជាមរណៈនព្រៃះរាជាទាំងឡាយ អែការវិនាសភោគផែនដី គេអាចដណ្តើមយកមកវិញបាន មិនមែន
ដូចខូចខាតអាមាត្យឡើយ។
ចចកទមនកៈនិយាយកត់ឡើងថា «លោកម្ចាស់! នេះជាវិធីពិចារណាបែបថ្មីដូចម្តេច? ហេតុអ្វីលោកមកសោកស្តា
យសត្រូវដែលលោកសំលាប់ដូច្នេះ ព្រោះថា៖
១៧៨ - នរជនដែលធ្វើអន្តរាយដល់ជីវិត ទោះជាបិតារឺជាបងក្តី ពុំនោះជាបុត្រ រឺជាមិត្រសំលាញ់ក្តី ព្រះរាជាប្រាថ្នា
សេចក្តីចំរើនត្រូវតែសំលាប់ចោលបង់។
១៧៩ - នរជនអ្នកស្គាល់សភាពពិតនៃព្រះធម៌ ប្រយោជន៍ និងកាម មិនគួរមានករុណាតែមួយចំណែកទេ ព្រោះថា
នរជនដែលមានតែចិត្តអត់ធន មិនអាចស៊ីបាយ ដែលឋិតនៅក្នុងកណ្តាប់ដៃខ្លួនឡើយ។
១៨០ - ការអត់អោនអោយចំពោះសត្រូវ រឺមិត្ត ជាគ្រឿងលំអរនៃអ្នកប្រាជ្ញដែលបំពេញព្រឹត្តិពិតមែនហើយ តែការ
អត់អោនចំពោះសត្វដែលមានកំហុសនេះ ត្រលប់ជាគ្រឿងប្រទូស្តនៃព្រះរាជាទាំងឡាយវិញទេ។
១៨១ - នរជនណា ចង់សំលាប់ម្ចាស់ដោយល្មោភចង់បានរាជ្យ រឺដោយការមើលងាយគំនិត ទោសនរជននោះ បើ
អោយសមតាមកំហុសមានតែបទមួយទេ គឺការប្រហារជីវិត មិនមែនប្រការដទៃទៀតឡើយ។
១៨២ - ព្រះរាជាមានសេចក្តីអាណិតហួសមាត្រ ព្រាហ្មណ៍បរិភោគសាច់សត្វសព្វមិនចន្លោះ ភរិយាមិននៅក្នុងអោ
វាទ មិត្តមាននិស្ស័យប៉ងធ្វើសេចក្តីអន្តរាយ អ្នកបំរើរឹងទទឹង ភ្នាក់ងារធ្វេសប្រហែស និងមនុស្សអកតញ្ញូ នរជនគួរ
លះបង់ជនអស់នេះចោលអោយស្រលះចេញ។ លោកពោលសេចក្តីវិសេសតទៅទៀតថា៖
១៨៣ - រាជនិតិ មានការផ្លាស់ប្តូររូបអនេក ដូចកលមាយាស្រីមានរូបល្អ គឺថាត្រង់តាមសេចក្តីពិតខ្លះ ពោលពាក្យ
រឹងរូស រឺក៏ជាទីស្រលាញ់ខ្លះ ធ្វើកាចឃោរឃៅ ពុំនោះធ្វើអាណិតអាសូរខ្លះ កំណាញ់ស្វិតស្វាញ ពុំនោះសោតទូលា
យជួយទ្រព្យជាដើមទុនខ្លះ ចំណាយទ្រព្យជានិច្ចពុំនោះសោតទៀត ប្រមូលកៀរគររតនវត្ថុ និង ទ្រព្យសម្បត្តិអោយ
ច្រើនខ្លះ។
លុះចចកទមនកៈមេប្រាជ្ញមេខិល ពោលវាចាលួងដោយទឹកប្រយោគសំដី ប្រាប់ក្តី ហេតុផលអោយស្ងប់ក្សេមក្សា
ន្តហើយ បិង្គលកៈត្រលប់តាំងខ្លួនដូចធម្មតាដើម ចូលទៅឋិតនៅលើរាជបល្លង្គសីហសនៈវិញ។ ទមនកៈប្រកបតា
មក្តីប្រាថ្នាហើយ មានចិត្តរីករាយសប្បាយក្រៃលែង ស្រែកអោយសព្ទសាធុការពរដល់ស្តេចចតុប្បាទថា៖ «បពិត
មហារាជ សូមព្រះអង្គមានជ័យសិរីមង្គលគ្រប់ប្រការ សូមសុភមង្គល ផ្តល់ក្តីសុខចំរើនដល់សព្វសត្វក្នុងសាកល ពិភពផ្ទៃក្រោមតទៅ!» ចចកជូនពររួចហើយចូលទៅកាន់ទីឋានខ្លួន សុខសប្បាយដូចប្រក្រតីដើមហោង។
កាលនោះ មហាបណ្ឌិតវិស្ណុសម៌ន៍ ក្រាបបង្គំទូលព្រះរាជបុត្រទាំងឡាយមុនបញ្ចប់ថា «ការបំបែកមិត្តនេះ ដែល
ទ្រង់ទាំងឡាយបានត្រងត្រាប់ស្តាប់តាំងពីដើមដល់ចុង សន្មតថាចប់អស់អាថិសេចក្តីត្រឹមប៉ុណ្ណេះហើយ។ ព្រះរាជ
បុត្រទាំងឡាយត្រាស់តបវិញថា «យើងខ្ញុំទាំងអស់គ្នា បានស្តាប់កថាវិចិត្រដោយក្តីជ្រះថ្លាក្រៃលែង បានក្តី សុខកាយ
សប្បាយចិត្តអិតអុបមា»។ មហាបណ្ឌិតវិស្ណុសមន៍ក្រាបទូលបញ្ជាក់ថា «សូមទ្រង់គ្រប់ព្រះអង្គ បានប្រកបដោយពរ
នេះតទៅ៖
១៨៤ សូមអោយការបំបែកមិត្រនេះ មានចំពោះតែទីលំនៅសត្រូវរបស់ទ្រង់ទាំងឡាយចុះ ទុរជនខិលខូចចិត្តអា
ក្រក់សាមាន្យ សូមព្រះកាលចាប់កាច់កបំផ្លេចបំផ្លាញ នាំយកទៅកាន់ទីវិនាសហិនហោចខ្លោចផ្សាអស់រលីងរាល់ៗ
ថ្ងៃកុំបីខាន សូមមហាជនតាំងនៅដោយការបរិបូណ៌ព្រមដោយសេចក្តីសុខចំរើនគ្រប់ប្រការ ជាអនេក អនន្តអស់
កាលជានិច្ចនិរន្តរ៍ និងសូមកុលបុត្រយុវជនទាំងឡាយ មានចិត្តរីករាយ ជ្រះថ្លាចំពោះមធុរកថាជាទីមនោរម្យក្នុង
លោកនេះគ្រប់ទិនទិវារាត្រីទៅហោង។
កថាសង្រ្គោះទី២ ឈ្មោះការបំបែកមិត្ត មានមកក្នុងហិតោបទេស
ចប់តែប៉ុណ្ណេះ
free programes
Posted by sereykh at 20:51 0 comments
Labels: ស្រីហិតោបទេស