แนวคิดของศาสนาโซโรอัสเตอร์
1. ศาสนาโซโรอัสเตอร์ เกิดที่ประเทศอิหร่าน เมื่อประมาณ 117 ปีก่อนพุทธศักราช เป็นศาสนาสำคัญของอิหร่านก่อนที่จะหันมานับถือศาสนาอิสลาม และศาสนานี้เป็นต้นทัศนคติในเรื่องทวินิยม และเป็นศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของศาสนายิวและศาสนาคริสต์ ศาสดาของศาสนานี้ชื่อ โซโรอัสเตอร์
2. คัมภีร์สำคัญของศาสนาโซโรอัสเตอร์ คือ คัมภีร์อเวสตะ แบ่งออกเป็น 5 หมวดใหญ่ คือ 1) ยัสนะเป็นหมวดที่ว่าด้วยพิธีกรรม 2) วิสาเปรัท เป็นหมวดที่ว่าด้วยบทสวดอ้อนวอนต่อเทพทั้งปวง 3) เวทิทัท เป็นหมวดว่าด้วยบทสวดขับไล่ภูตผีปีศาจและเทพซึ่งเป็นฝ่ายร้าย 4)ยัษฏส์ เป็นหมวดว่าด้วยบทสวดบูชาอันเป็นกวีสำหรับใช้สวดบูชาทูตสวรรค์ 21 องค์และ วีรบุรษแห่งศาสนาโซโรอัสเตอร์ 5) โบรท-อเสตะ เป็นหมวดที่เป็นหนังสือบทสวดคู่มืออย่างย่อสำหรับใช้ในหมู่ศาสนิกชนสามัญ ทั่วไป
3. ศาสนาโซโรอัสเตอร์มีหลักคำสอนที่สำคัญดังนี้ 1) คุณธรรมคำสอนที่จะนำไปสู่การอยู่รวมกับปวงเทพ 6 ประการ 2) บาปและบุญ 3) หน้าที่ของมนุษย์ 3 ประการ 4) หลักการสร้างนิสัยที่ดี 4 ประการ 5) ข้อปฏิบัติของนักบวช 6) การบูชาไฟ ส่วนจุดมุ่งหมายปลายทางสูงสุดในชีวิตของศาสนาโซโรอัสเตอร์ อันเป็นความสุขที่แท้จริงและ นิรันดรคือสวรรค์ วิธีการที่จะทำให้บรรลุจุดหมายปลายทางนั้น ศาสนิกชนจะต้องตั้งอยู่ในศีลธรรม คือบำเพ็ญตนให้มีความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ และบูชาพระเจ้าด้วยความจงรักภักดีอย่างแท้จริง ชาวโซโรอัสเตอร์เชื่อว่าชีวิตในโลกนี้มีครั้งเดียว จากนั้นจะไปอยู่นรกหรือสวรรค์ชั่วนิรันดร
4. ศาสนาโซโรอัสเตอร์มี 2 นิกาย คือนิกายชหันชนิส และนิกายกัทมิส ศาสนาโซโรอัสเตอร์ใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาเป็นรูปโคมไฟ ซึ่งมีความหมายถึงแสงสว่างและความอบอุ่น
5. ศาสนาโซโรอัสเตอร์ในปัจจุบันนี้ มีศาสนิกชนทั้งหมดประมาณ 180,000 คน อยู่ที่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย และประเทศอิหร่าน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักศึกษาได้มองเห็นภาพรวมประเด็นที่เป็นสาระสำคัญทางศาสนาของศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์
2. เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาและสามารถถ่ายทอดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ ศาสนา ประวัติศาสดา คัมภีร์สำคัญในศาสนา หลักคำสอนที่สำคัญในศาสนา หลักความเชื่อและจุดมุ่งหมายสูงสุดในศาสนาของศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้อย่างถูก ต้อง
3. เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาและสามารถถ่ายทอดเกี่ยวกับพิธีกรรมที่สำคัญทาง ศาสนา ศาลเจ้าและนักบวชของศาสนา พิธีกรรมที่สำคัญทางศาสนา นิกายในศาสนา และฐานะของศาสนาในปัจจุบันของศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้อย่างถูกต้อง
10.1. ประวัติความเป็นมา
ศาสนาโซโรอัสเตอร์1 เกิดในประเทศอิหร่านเมื่อประมาณ 117 ปีก่อน พุทธศักราชโดยคิดตามสมัยของโซโรอัสเตอร์ (Zoroaster) ผู้เป็นศาสดาของศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นศาสนาทวิเทวนิยม เชื่อว่ามีเทพเจ้า 2 องค์ คือเทพเจ้าแห่งความดีมีพระนามว่า อหุระมาซดะ (Ahura mazda) หรือออร์มุสด์ (Ormuzd) หรือสเปนตา เมนยุ(Spentamainyu)ทรงสร้างแต่สิ่งดีงาม เช่น ความสวยงาม ความอุดมสมบูรณ์ ความสุข และความสมหวัง เป็นต้น กับอีกองค์หนึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความชั่ว หรือพญามาร มีนามว่า อหริมัน (Ahriman) หรืออังครา เมนยุ (Angra Mainyu) สร้างแต่สิ่งที่ชั่วหรือไม่ดีทั้งหลาย เช่น ความอัปลักษณ์ความอดอยาก ความทุกข์และความผิดหวัง เป็นต้น เทพทั้ง 2 องค์ได้ต่อสู้กันตลอดเวลา ดังที่พระอหุระ มาซดะ ตรัสว่า "เราอหุระ มาซดะ ไม่ได้พักผ่อนอยู่สบายเลย เพราะเป็นความปรารถนาของเราที่จะคุ้มครองแก่สิ่งที่เราสร้างขึ้น และโดยทำนองเดียวกัน เขาอหริมันก็ไม่ได้พักผ่อน เพราะเป็นความปรารถนาของเขาที่จะนำความพินาศมาสู่ผู้ที่เราสร้างขึ้น" ด้วย เหตุนี้จึงมีของคู่กันในโลก เช่น ดี-ชั่ว สูง-ต่ำ ดำ-ขาว มืด-สว่าง เป็นต้น โดยสิ่งที่ดีทั้งหลายมาจากอหุระ มาซดะ ส่วนสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายก็มาจากอหริมัน ศาสนาโซโรอัสเตอร์นอกจากจะมีชื่อทวิเทวนิยมแล้วก็มีชื่ออื่นๆ อีก เช่น ศาสนาปาร์ซี เพราะศาสนานี้เกิดในเปอร์เซีย และชาวเปอร์เซียนับถือศาสนามาซดะ เพราะเทพเจ้าสูงสุดของศาสนานี้คือพระอหุระ มาซดะ ศาสนาบูชาไฟ เพราะศาสนิกของศาสนานี้จะตามไฟตลอดเวลามิให้ดับ เหล่านี้เป็นต้น ที่ว่าศาสนาบูชาไฟมิได้หมายความว่าศาสนาโซโรอัสเตอร์เห็นว่าไฟศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ใช้ไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งความสว่าง ความสะอาดความรู้และความดี เป็นต้นเท่านั้น กล่าวคือมีไฟในที่ใดย่อมกำจัดความมืดในที่นั้น มีไฟเผาผลาญสิ่งต่างๆ ในที่ใด ย่อมทำลายสิ่งสกปรกให้หมดไปเหลืออยู่แต่ความสะอาดในที่นั้น ความรู้เกิดในที่ใด ย่อมกำจัดความโง่ให้หายไปในที่นั้นหรือความดีเกิดขึ้นในที่ใดย่อมกำจัดความ ชั่วให้หมดไปในที่นั้น
ศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นศาสนาที่ชาวอิหร่านนับถือกันมาตั้งแต่ก่อนคริสต์ศวรรษ ที่ 6 ทั้งมีความสำคัญเป็นศาสนาของจักรวรรดิเปอร์เซีย ซึ่งพระเจ้าไซรัสมหาราชทรงปกครองเมื่อ 558-530 ก่อนศริสตศักราช ศาสนาโซโรอัสเตอร์ดำรงอยู่ในประเทศอิหร่านมานานกว่า 1,000 ปี ทั้งเคยรุ่งเรืองมากว่าประมาณ 3 ศตวรรษ เกียรติคุณขจรไปยังต่างแดนโดยเฉพาะในประเทศกรีก นักประวัติศาสตร์กรีกคนสำคัญ เช่น เอโรโดตุส และพลูตาร์ซ เป็นต้นและนักปรัชญากรีก เพลโต้ และอาริสโตเติล ต่างก็ได้ยกย่องศาสนาโซโรอัสเตอร์ไว้อย่างสูงจนใช้คำว่าโซโรอัสเตอร์กับคำ ว่าปัญญาในภาษากรีกแทนกันได้ และถือว่าปรัชญาของโซโรอัสเตอร์กับปรัชญาของเพลโต้มีแนวเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่ทำให้ศาสนาโซโรอัสเตอร์ค่อยอันตรธานหายไปจากประเทศอิหร่านก็ เพราะเหตุ 2 อย่าง คือ
1. ถูกพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก ได้เข้ามารุกรานจนมีชัยเหนือดินแดนนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ. 213 พระองค์สั่งให้เผาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์และศาสนิกถูก บังคับให้นับถือศาสนากรีกแทน
2. เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้มีอำนาจในศาสนาอิสลามกำลังเอาชนะโลกในนามพระอัลเลาะห์ได้เข้ามายึดครอง อิหร่าน สั่งให้เผาทำลายคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมด ทั้งบังคับศาสนิกของศาสนาโซโรอัสเตอร์ให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ใครขัดขืนจะถูกฆ่า ทำให้ศาสนิกของศาสนาโซโรอัสเตอร์ผู้ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา ได้พากันหลบหนีไปอยู่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย ศาสนาโซโรอัสเตอร์ จึงแทบสูญสิ้นไปไม่ประจักษ์แก่ชาวโลกเป็นเวลานานหลายศตวรรษ จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวโลกเริ่มได้รู้จักศาสนานี้อีกครั้งหนึ่ง เรื่องย่อมีว่า
เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาวอังกฤษได้รับคัมภีร์เซนต์อเวสตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของศาสนาโซโรอัสเตอร์มาคัมภีร์หนึ่ง แต่เนื่องจากอ่านไม่ออกจึงได้แขวนคัมภีร์นั้นไว้บนฝาผนังห้องสมุดโบดเลียน (Bodleian) มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เสมือนสิ่งแปลกประหลาดสำหรับอวดแขก ต่อมาต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ออเกอตีส์ ดูแปร์รอง (Anquertil Euperron) นักศึกษาแห่งสถาบันภาษาตะวันออกในกรุงปารีสมาเห็นเข้า เขาได้ตัดสินใจที่จะทำลายความลี้ลับให้ได้ จึงได้เดินทางไปยังเมืองบอมเบย์ศึกษาอยู่กับชาวเปอร์เซียเป็นเวลา 10 ปี จึงได้กลับมายังกรุงปารีส และได้รับความอุปถัมภ์จากหอสมุดหลวงฝรั่งเศสให้แปลคัมภีร์เซ็นต์อเวสตะจนจบ บริบูรณ์ จึงทำให้ความลี้ลับของศาสนาโซโรอัสเตอร์ถูกเปิดเผยแก่ชาวโลกอีกครั้งดัง กล่าวแล้ว
10.2 ประวัติศาสดา
ผู้เป็นศาสดาของศาสนานี้คือ โซโรอัสเตอร์ หรือเรียกอีกชื่อว่า ซาราธุสตรา เกิดในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ก่อน ค.ศ. ตามประวัติกล่าวว่ามีชีวิตอยู่ในระหว่างก่อน ค.ศ.660-583
10.2.1 ชาติกำเนิดและปฐมวัย
ซาราธุสตราหรือโซโรอัสเตอร์ เกิดในครอบครัวชนเผ่าปิยะครอบครัวหนึ่งในดินแดนเปอร์เซียหรืออิหร่านใน ปัจจุบัน เมื่อศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นบุตรชายที่น่ารักคนหนึ่งของปุรุษัสผู้บิดา และทุโควะผู้มารดา มีชีวประวัติที่น่าอัศจรรย์ เป็นอภินิหารและมีคำพยากรณ์ บรรดาสาวกของโซโรอัสเตอร์ต่างพากันเชื่อว่าจะมีคนวิเศษผู้ยิ่งใหญ่มาโปรดชาว เปอร์เซีย ล่วงหน้าก่อนโซโรอัสเตอร์เกิดกว่า 3 พันปี โดยพระเจ้าผู้เป็นมหาเทพพระนามว่า อาหุรมัสดา ทรงส่งผู้นั้นมาให้เกิดในรูปของแสงสว่างเป็นอมตะเข้าสู่ครรภ์หญิงสาวคนหนึ่ง ผู้เป็นมารดา (ของโซโรอัสเตอร์) ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 15 ปี ตำนานบางเล่มเล่าว่า โซโรอัสเตอร์คลอดจากครรภ์มารดาก็มีการแสดงอภินิหาร เช่น หัวเราะได้ เป็นต้น
ชีวิตปฐมวัยของโซโรอัสเตอร์ปรากฏเรื่องประหลาดมหัศจรรย์หลายครั้ง ตั้งแต่ยังเป็นทารก เช่น มีสมองพิเศษ คือ มีอานุภาพมาก หากใครเอามือแตะที่ศีรษะจะต้องสะท้อนกลับทันที เป็นเสมือนเข้าใกล้ไฟฟ้าแรงสูงฉะนั้น และยังสามารถแสดงวาทะที่มีเหตุผลโต้ตอบกับนักปราชญ์เหนือกว่าเด็กสามัญ ธรรมดาจะมีได้ เมื่ออายุได้ 15 ปี มีจิตใจใฝ่สงบโน้มเอียงไปข้างยึดถือเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า มีอำนาจจะยังชีวิตของคนให้เป็นสุขได้ในอนาคต มีจิตใจเปี่ยมด้วยเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อต่อคนยากจนและสัตว์ทั่วหน้า เมื่ออายุ 20 ปี โซโรอัสเตอร์ ปรารถนาที่จะท่องเที่ยวไปในป่า บำเพ็ญตนหาความสงบอยู่โดยลำพัง แต่บิดามารดาไม่ยอมอนุญาตให้ออกจากบ้านตามปรารถนา จึงหาวิธีที่จะผูกมัดโซโรอัสเตอร์ให้อยู่บ้าน โดยการหาหญิงสาวเลอโฉมมามอบให้เป็นภรรยา แต่โซโรอัสเตอร์ไม่ยินยอมมีภรรยาที่บิดามารดาหามาให้ คัดค้านว่าผิดจารีตประเพณี เพราะชายที่ไม่ได้พบและรักหญิงก่อนนั้นจะแต่งงานกันได้อย่างไร
10.2.2 มัชฌิมวัยและประสบการณ์ทางใจ
เมื่ออายุ 30 ปี โซโรอัสเตอร์ก็ตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยวไปในหมู่ชาวไร่ชาวนาที่ยากจน ได้เห็นการถูกบีบคั้นที่ได้รับจากเจ้าของที่ดิน และความทุกข์ทรมานของปศุสัตว์โซโรอัสเตอร์ไม่สามารถทนดูได้จึงคิดที่จะช่วย คนและสัตว์เหล่านั้นให้พ้นจากความลำบาก ขณะนั่งคิดหาอุบายอยู่ก็ได้ประสบการณ์ทางใจ คือ รู้สึกตัวเสมือนหนึ่งพระเจ้าอาหุรมัสดาตรัสเรียกให้มาเฝ้าอยู่ข้างหน้าพระ พักตร์ พระองค์ทรงไต่ถามซักฟอกปัญหาต่างๆ จนพอพระทัย แล้วทรงมอบให้ดำเนินงานในฐานะตัวแทนของพระองค์เพื่อช่วยเหลือความทุกข์ของคน ทั้งหลาย คำสั่งของพระเจ้ามีว่า "ชายผู้นี้เราได้สร้างมาเพื่อเป็นตัวแทนของเรา ชายผู้นี้เท่านั้นที่เอาใจใส่ต่อการบอกกล่าวแนะนำของเรา" และว่า "เจ้าเป็นคนแรกที่ยกย่องเรา ส่วนคนอื่นต่างพากันมองเราด้วยความเกลียดชัง"
10.2.3 ออกประกาศศาสนา
เมื่อได้รับประสบการณ์เช่นนั้นก็มั่นใจในตัวเองที่จะเป็นผู้ควรโปรดหมู่คน ตามประวัติได้กล่าวไว้ว่า โซโรอัสเตอร์ได้ให้สัตย์ปฏิญาณต่อพระเจ้า1 ว่าจะเผยแผ่ศาสนาให้ก้าวหน้าไปทั่วสากลโลก จะเปลี่ยนแปลงความชั่วร้ายให้กลายเป็นดี ตั้งแต่นั้นมาโซโรอัสเตอร์ก็มอบกายถวายชีวิตให้เป็นพลีแด่พระเจ้า ยึดถือหลักมีความคิดดี มีการกระทำดี และมีวาจาดี ตำหนิติเตียนความสกปรกโสมม การมัวเมา การคดโกง และการหลอกลวงทั้งสิ้น โซโรอัสเตอร ์กล่าวว่า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนนี้ ในบั้นปลายชีวิตเขาจะต้องประสบความเดือดร้อนลำเค็ญ
10.2.4 ความสำเร็จ
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" สุดท้ายแห่งความพยายามที่เป็นไปอย่างมั่นคงสม่ำเสมอไม่ขาดสาย โซโรอัสเตอร์ก็มีโอกาสเข้าสู่ราชสำนักเปอร์เซียได้เข้าเฝ้ากษัตริย์วิสตาสปา (Vistaspa) ได้เทศนาถวายกษัตริย์ พระราชอนุชา พระราชโอรส และข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน คนทั้งหลายในราชสำนักพากันเปลี่ยนจากความนับถือเดิม คือการนับถือธรรมชาติที่ทรงอำนาจ เช่น การนับถือของเผ่าอารยันโบราณอื่นๆ กลับมานับถือพระเจ้าอาหุรมัสดา และคำสอนของโซโรอัสเตอร์ โซโรอัสเตอร์มีอายุ 42 ปี อาศัยความสำเร็จอันนี้โซโรอัสเตอร์เผยแผ่ศาสนาได้ผลอย่างเต็มที่จนถึงอายุ 57 ปี อนึ่งในระยะนี้เองโซโรอัสเตอร์ได้กำลังเผยแผ่ศาสนาจากภรรยาของตน 3 คน ซึ่งเป็นหญิงชั้นผู้ดีทั้งสิ้น แต่คนที่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดคือ คนที่เป็นลูกสาวของเสนาบดี โซโรอัสเตอร์มีลูกชาย 3 คน และลูกสาว 3 คน เกิดจากภรรยาทั้งสาม ลูกสาวคนหนึ่งสมรสกับอัครมหาเสนาบดี ลูกสาวคนนี้เองเป็นกำลังในการเผยแผ่ศาสนาให้แก่บิดาเป็นอันมาก ฝ่ายทางลูกชายทั้งสามคนรับราชการเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารอยู่ในกองทัพ กษัตริย์เปอร์เซีย และเป็นกำลังอย่างดีในการประกาศศาสนาของบิดาด้วย
ระยะการประกาศศาสนาของโซโรอัสเตอร์ตอนหลัง คือ ตั้งแต่อายุ 57 ปี มีลักษณะรุนแรงไปด้านการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อแสวงหาราชอำนาจให้แก่กษัตริย์เปอร์เซียในดินแดนใกล้เคียง ปรากฏว่ากษัตริย์เปอร์เซียผู้อุปถัมภ์ศาสนาโซโรอัสเตอร์ต้องทำสงครามศาสนา กับเผ่าตุเรเนียนอย่างหนักครั้งหนึ่ง เปอร์เซียต้องใช้ทหารถึงแสนคนเข้าตีเผ่า ตุเรเนียนและประเทศใกล้เคียงที่ปฏิเสธไม่ยอมรับนับถือศาสนาของโซโรอัสเตอร์ และได้ชัยชนะ
10.2.5 บั้นปลายชีวิต
ในวัยชราอันเป็นปัจฉิมวัย โซโรอัสเตอร์ได้บำเพ็ญตนเป็นบรมศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในการใช้กลยุทธ์ในการ ประกาศศาสนา ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ยังชาติบ้านเมืองให้พัฒนาเจริญรุ่งเรือง ทั้งปฏิปทาของโซโรอัสเตอร์เองก็เป็นศาสดาผู้สูงส่งด้วยศีลธรรมจรรยา เป็นที่นับถือศรัทธาของคนทั้งหลาย เมื่ออายุ 77 ปี ก็ได้ถึงแก่การสิ้นชีพ หลังจากนั้น เมื่อถึงสมัยศาสนาอิสลามได้แพร่หลายไปทั่วโลก ประเทศเปอร์เซียตกไปอยู่ในอำนาจของอิสลาม ประชาชนพลเมืองเปอร์เซียจึงเปลี่ยนมาถือศาสนาอิสลามโดยลำดับ ส่วนพวกที่ยังนับถือศาสนาเดิมต้องหนีภัยไปอาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย โดยมากอยู่ทางเมืองบอมเบย์ ต้องวางอาวุธ ต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ต้องเว้นการฆ่าวัวควายตามเงื่อนไขของพวกฮินดู ชาวเปอร์เซียหรือชาวปาร์ซียอมตามจึงอาศัยอยู่ในอินเดียได้ เมื่อชาติปาร์ซีไปเคล้าคละปะปนอยู่กับชนต่างชาติและต่างลัทธิ ก็เลือนภาษาเดิมของตนทีละน้อยจนลืมสนิท ส่วนลัทธิเดิมก็จืดจางแทบจะสิ้นไปด้วยหากรักษาคัมภีร์ของเก่าในลัทธิสืบไว้ ได้บางคัมภีร์ ลัทธิของตนก็เลยไม่สูญแต่ความรู้ความเข้าใจในคัมภีร์ออกจะเป็นอย่างที่สืบๆ กันมาเท่านั้น
10.3 คัมภีร์ในศาสนา
คัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ คือ คัมภีร์อเวสตะ คำว่า อเวสตะ แปลว่า ความรู้ ตรงกับคำว่า เวทะ อันเป็นคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์หรือฮินดู ภาษาที่ใช้จารึกเป็นภาษาอเวสตะ(มีลักษณะคล้ายภาษาสันสกฤต) เกิดจากการรวบรวมขึ้นจากที่ท่องจำกันมาได้ คัมภีร์อเวสตะแบ่งออกเป็น 5 หมวดใหญ่ ดังนี้
1. ยัสนะ เป็นหมวดที่ว่าด้วยพิธีกรรม การพลีกรรมบวงสรวงต่อพระเจ้า เป็นตอนเริ่มแรกที่แสดงว่าเทพเจ้ามีความสำคัญยิ่งกว่ามนุษย์ และแสดงว่าการพลีกรรมบวงสรวงต่อเทพเจ้าเป็นข้อปฏิบัติของมนุษย์ที่มาก่อนข้อ ใด คัมภีร์ยัสนะแต่งเป็นคาถาทำนองเพลงขับในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ ใช้เป็นบทสวดสรรเสริญคุณและฤทธิ์ของพระเจ้า มีอยู่ด้วยกัน 5 บท
2. วิสเปรัท เป็นหมวดว่าด้วยบทสวดอ้อนวอนต่อเทพทั้งปวง ใช้คู่กับยัสนะ ประกอบด้วยบทง่ายๆ 20 บท
3. เวทิทัท เป็นหมวด ว่าด้วยบทสวดขับไล่ภูตผีปีศาจและเทพ ซึ่งเป็นฝ่ายร้าย เป็นกฎที่เป็นปฏิปักษ์ต่อมารร้าย เฉพาะนักพรตหรือพระในศาสนานี้เท่านั้น จะเป็นผู้ใช้เวทิทัทประกอบพิธีกรรม นอกจากนั้นหมวดนี้ยังได้กล่าวถึงเรื่องของจักรวาล ประวัติศาสตร์ และคำสอนเรื่องนรกสวรรค์
4. ยัษฎส์ เป็นหมวดว่า ด้วยบทสวดบูชาอันเป็นบทกวีสำหรับใช้สวดบูชาทูตสวรรค์ 21 องค์ และวีรบุรุษแห่งศาสนาโซโรอัสเตอร์ ถือว่าเป็นหมวดสำคัญของคัมภีร์อเวสตะ นักพรตได้นำมาใช้เป็นคัมภีร์แรกในพิธีกรรม เป็นคัมภีร์คู่มือของนักพรต
5. โขรท-อเสตะ แปลว่า "อเวสตะเล็กน้อย" เป็นหมวดที่เป็นหนังสือบทสวดคู่มืออย่างย่อสำหรับใช้ในหมู่ศาสนิกชนสามัญทั่วไป
10.4 หลักคำสอนที่สำคัญ
10.4.1 คุณธรรมคำสอนที่จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกับปวงเทพ 6 ประการ1
ผู้ปฏิบัติตามนี้ได้ชื่อว่าเป็นศาสนิกชนอย่างแท้จริงตามวิถีแห่งเทพเจ้าผู้ประเสริฐด้วยปัญญาของโซโรอัสเตอร์ คือ
1. พฤติกรรมที่สุจริตทั้งกาย วาจา และจิตใจ
2. ความมีจิตใจบริสุทธิ์สะอาด
3. ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
4. ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ที่ให้คุณประโยชน์
5. การทำงานที่มีคุณค่า
6. การช่วยเหลือผู้ยากจนให้ได้รับการศึกษา
10.4.2 บาปและบุญ
บาปซึ่งเป็นมิตรของพาลชน แต่เป็นศัตรูของสาธุชน ได้แก่ ทุจริตทางกาย วาจา และจิตใจ โทสะ วิหิงสา พยาบาท ดื้อดึง เย่อหยิ่ง เล่นการพนัน ดูหญิงด้วยกามวิตก โลภ ปราศจาก ความละอาย ริษยา และอื่นๆ ซึ่งอยู่ในหมวดความชั่ว ศาสนิกทุกคนจะต้องงดเว้นให้ห่างไกล เพราะถ้าทำบาปแล้วย่อมได้รับผลของบาปนั้น ส่วนบุญคือ การกระทำที่ชอบ ซึ่งเป็นมิตรของสาธุชน แต่เป็นศัตรูของพาลชน ได้แก่ การให้ทานมีความเมตตากรุณามุทิตา กล่าววาจา อ่อนหวานไพเราะ แสวงหาความรู้ พูดสิ่งที่เป็นจริง ฯลฯ ศาสนิกทุกคนควรเป็นสาธุชนกระทำแต่ในสิ่งที่เป็นบุญเท่านั้น
10.4.3 หน้าที่ของมนุษย์ 3 ประการ คือ ผู้จะเป็นมนุษย์จะต้องได้ทำหน้าที่ 3 ประการดังนี้ คือ
1. ทำศัตรูให้เป็นมิตร
2. ทำคนชั่วให้เป็นคนดี
3. ทำคนโง่ให้เป็นคนฉลาด
10.4.4 หลักการสร้างนิสัยที่ดี 4 ประการ อันเป็นหลักศาสนาโซโรอัสเตอร์ คือ
1. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อบุคคลผู้สมควร
2. มีความยุติธรรม
3. เป็นมิตรกับทุกๆ คน
4. ขจัดความอสัตย์ออกไปจากตัวเอง
10.4.5 ข้อปฏิบัติของนักบวช
มีข้อปฏิบัติอันเรียกว่า ธรรม และข้อห้ามอันเรียกว่า วินัย สำหรับนักพรตมีดังนี้
ธรรม มี 5 คือ
1. เป็นผู้บริสุทธิ์ (พรหมจรรย์)
2. เป็นผู้เที่ยงธรรมต่อคนและสัตว์ในไตรทวาร
3. เป็นผู้มีความรู้เชื่อถือได้ (สอนคนได้)
4. เป็นผู้ฉลาดในพิธีกรรม
5. เป็นผู้อดทนต่อความชั่ว
วินัย มี 10 คือ
1. ต้องมีชื่อเสียงดีเพื่อความดีของครูอาจารย์
2. ต้องไม่มีชื่อเสียงชั่วเพื่อครูอาจารย์
3. ต้องไม่ทุบตีและไม่กล่าวคำหยาบต่อครูอาจารย์
4. ครูอาจารย์สอนอย่างไรต้องรับอย่างนั้น และต้องสอนตามที่ครูอาจารย์สอน (อย่าบิดเบือน)
5. ต้องวางกฎเกณฑ์ให้รางวัลแก่ผู้ทำความดี ลงโทษแก่ผู้ทำความชั่วโดยเที่ยงธรรม
6. ต้องต้อนรับผู้มาหาด้วยอาจาระอันงาม
7. ต้องห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติชั่ว
8. ต้องสารภาพความชั่วที่ตัวกระทำ (ปลงอาบัติ)
9. ต้องรู้ความเคลื่อนไหวของศาสนา และช่วยบำรุงศาสนา
10. ต้องภักดีต่อผู้ปกครองทางอาณาจักรและศาสนจักร
10.4.6 การบูชาไฟ
มหาเทพอาหุรมัสดาเป็นผู้ทรงความบริสุทธิ์ เป็นผู้ทรงแสงสว่างยิ่งกว่าแสงสว่างอันใด เป็นผู้ประทานความอบอุ่นให้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ดังนั้นไฟจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้า ด้วยว่าเมื่อมีไฟอยู่ในที่ใด ไฟย่อมจะเผาผลาญสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายให้เหลือแต่ความบริสุทธิ์ ข้อนี้ฉันใด เทพเจ้า (อาหุรมัสดา) ประทับอยู่ในที่ใด ที่นั่นย่อมจะมีแต่ความบริสุทธิ์โดยเหตุนี้ศาสนิกชนของศาสนานี้จึงได้ชื่อ ว่าผู้บูชาไฟ (Fire Worshipper) และศาสนานี้จึงได้ชื่อว่า ศาสนาของผู้บูชาไฟ (Religion of Fire Worshipper) ด้วย ศาสนิกแห่งศาสนาโซโรอัสเตอร์ถือว่า จะต้องมีสถานที่จุดไฟเพื่อบูชา และจะต้องคอยระวังไม่ให้ไฟดับ จะต้องตามไฟเป็นเครื่องบูชาไว้เป็นนิจ จะต้องถือว่านอกจากไฟแล้ว ไม่มีอะไรจะล้างสิ่งสกปรกให้สะอาดได้
10.4.7 พระเจ้าผู้เป็นเจ้าสูงสุด
ศาสนาโซโรอัสเตอร์เชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าอาหุระ มาซดะ (AhuraMazda) ซึ่งฮอพฟ์ได้อธิบายความหมายไว้ว่า คำว่า "อาหุระ" นี้เป็นภาษาเปอร์เซีย แปลว่า "พระเจ้า" และคำว่า "มาซดะ" แปลว่า "ปัญญา" รวมความว่า "พระเจ้าแห่งดวงปัญญา" ในคัมภีร์ของโซโรอัสเตอร์ได้เอ่ยถึงพระองค์ มากกว่า 20 พระนาม เช่น "ผู้ประทานพร" "ผู้ประทานฝูงสัตว์" "ผู้ทรงพลัง" "ความศักดิ์สิทธิ์อัน สมบูรณ์" "พระผู้สร้าง" "สัพพัญญู" และ "พระเจ้า ผู้ไม่มีใครเอาชนะ" เป็นต้น
พระองค์จึงเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง ผู้รู้ทุกสิ่ง และทรงความดีงามอย่างบริสุทธ์ถาวรโลกและสรรพสิ่งล้วนเป็นผลงานที่พระองค์ทรง สร้างขึ้นมา แต่ไม่มีใครสามารถสร้างพระองค์ได้ พระองค์จึงมีอยู่เป็นอยู่ด้วยพระองค์เอง ทรงเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลา ไม่มีใครที่จะรู้หรือเข้าใจในตัวพระองค์ได้โดยตรง นอกจากจะทรงเปิดเผยพระองค์เองโดยการติดต่อผ่านเทพเจ้าทั้ง 6 องค์ คือ
- อาษา (Asha) เป็นเทพเจ้าแห่งความยุติธรรมและความรู้ในกฎของพระเจ้า
- โวฮู- มานา (Vohu-Mana) เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก
- กษัตรา (Kshathra) เป็นเทพเจ้าแห่งความช่วยเหลือ
- อาร์มาอิตอ (Armaiti) เป็นเทพีแห่งความใจบุญ
- อารวาตัต (Haurvatat) เป็นเทพีแห่งความสมบูณ์
- อาเมเรตัต (Ameretat) เป็นเทพีแห่งอมตภาพ
นอกจากนี้ยังมีเทพองค์อื่นๆ อีก เช่น สระโอชา (Sraosha) เป็นเทพที่ปกป้องมนุษย์ที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า อาชิ วังกูอี (Ashi Vanguhe) เป็นเทพีผู้ให้รางวัลแก่คนทำดี และมิทรา (Mithra) เป็นเทพที่ยกย่องกันมากในกลุ่มของพวกทหาร
เทพและเทพีเหล่านี้มีหน้าที่ขับไล่ความชั่วร้าย และคอยปกป้องคุ้มครองมนุษย์ ผู้ที่นับถือศาสนานี้จะต้องหมั่นสวดมนต์อยู่เสมอเพื่ออ้อนวอนให้บรรดา เทพเจ้าอวยพรให้้อยู่เย็นเป็นสุข เทพเจ้าในศาสนานี้มีเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่ามากกว่า 40 องค์ แต่ ที่สำคัญและเป็นที่ยอมรับมีไม่มาก ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น การที่มีเทพเจ้าหลายองค์เช่นนี้ อาจทำให้บางท่านเข้าใจว่าเป็นศาสนาแบบพหุเทวนิยม (Polytheism) แต่นัยแห่งความจริงแล้ว ศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นแบบเอกเทวนิยม เพราะบรรดาเทพและเทพีต่างเป็นเพียงบริวารซึ่งอยู่ใต้อำนาจขององค์อาหุระ มาซดะ พระองค์สามารถแบ่งภาคเป็น 2 ภาค คือ พระเจ้าแห่งความดีงามและความสว่าง ทรงพระนามว่า สเปนตา มันยุ (Spenta Mainyu) และพระเจ้าแห่งความชั่วร้าย และความมืด ทรงพระนามว่า อังกระมันยุ (Angra Mainyu) หรือ อาริมัน (Ahriman) การแบ่งภาคเป็น 2 ภาค อาจทำให้หลายท่านคิดว่าเป็นแนวคิดแบบทวิเทวนิยม ซึ่งไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ เพราะทั้ง 2 ภาคนี้ ต่างมาจากพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งเป็นเอกและเป็นปฐม ทรงมีพลังอันมหาศาลที่จะสำแดงปรากฏการณ์ต่างๆ ได้อย่างมากมาย
10.5 หลักความเชื่อ และจุดหมายสูงสุด
ศาสนาโซโรอัสเตอร์สอนว่ามีเทพเจ้าอยู่ 2 องค์ คือ พระอหุระ มาซดะ และอหริมันพระอหุระมาซดะ เป็นเทพเจ้าแห่งความดี ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งที่ดีงาม ในคัมภีร์บุนฮาดิส (Bunhadis) ซึ่งเป็นคัมภีร์อรรถกถาของคัมภีร์เซนต์ อเวสตะ ได้กล่าวถึงการสร้างโลกของพระอหุระ มาซดะ ไว้ว่า วันที่ 1 ทรงสร้างฟ้า วันที่ 2 ทรงสร้างน้ำ วันที่ 3 ทรงสร้างแผ่นดิน วันที่ 4 ทรงสร้างพฤกษชาติทั้งหลาย วันที่ 5 ทรงสร้างสรรพสัตว์ วันที่ 6 ทรงสร้างคน ผู้ชายคนแรกที่ทรงสร้างขึ้นคือ เมเชีย (Meshia) และหญิงคนแรกคือ เมเชียนา (Meshiana) และในช่วงการสร้างนั้นพระองค์ยังได้สร้างแสงสว่างขึ้นระหว่างฟ้ากับดิน ทั้งทรงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ อีกด้วย แต่บางตำราก็ว่ามนุษย์ชายคนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นชื่อมัศยา ส่วนมนุษย์หญิงคนแรกชื่อมัศโยอี ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมีลูก 14 คน เป็นชาย 7 หญิง 7
พระอหุระ มาซดะ นอกจากทรงสร้างสรรพสิ่งแล้ว ยังเป็นพระเจ้าแห่งความดี ชีวิตความงาม ความสว่าง ความสะอาด ความแข็งแรง ความไม่มีโรค และความฉลาด เป็นต้น ส่วน อหริมันเป็นเทพเจ้าแห่งความชั่ว สร้างแต่สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ดังนั้นอหริมัน นอกจากจะเป็นเทพเจ้าแห่งความชั่วแล้วยังเป็นเทพเจ้าแห่งความตาย ความอัปลักษณ์ ความมืด ความสกปรกความอ่อนแอ ความมีโรค และความโง่ เป็นต้น เทพทั้ง 2 องค์ต่อสู้กันตลอดเวลา พระอหุระ มาซดะ นอกจากจะต่อสู้กับอหริมันด้วยพระองค์เองแล้ว ยังมีเทพบริวารของพระองค์คอยช่วยอีกด้วย กล่าวคือ พระอหุระ มาซดะ ได้สร้างเทพบุตร 3 องค์ และเทพธิดา 3 องค์ ให้คอยช่วยเหลือพระองค์ เทพบุตรทั้ง 3 ก็มีเทพโวหุมนะ (Vohumana) ใจบริสุทธิ์ เทพอัษวหิสตา (Ashvahista) หรืออาษา (Asha) ความยุติธรรม และเทพกษัตริย์(Kshatra) อำนาจ ส่วนเทพธิดา 3 องค์ ก็มีเทพธิดาสเปนดาร์มัต (Spendarmad) ความรัก เทพธิดาฮอร์วตัต (Haurvatat) อนามัยหรือสมบูรณ์ และเทพธิดาอเมเรตัต (Ameretat) อมตะ เทพบุตรและเทพธิดาทั้ง 6 องค์เรียกรวมกันอเมษ-สเปนต้า (Amesh Spenta) หรือ เฮปตัค (Heptat) เทพบริวารเหล่านี้อาจเป็นเพียงเรื่องบุคลาธิษฐานก็เป็นได้ เพื่ออธิบายธรรม 6 ประการว่าเป็นเรื่องที่ควรบำเพ็ญให้เกิดมีขึ้น คือ ความบริสุทธิ์ ความยุติธรรม อำนาจ ความรัก อนามัยและอมตะ
ศาสนาโซโรอัสเตอร์สอนว่า พญามารอหริมันถึงแม้จะมีอำนาจเพียงใด แต่ในที่สุดก็จะถูกพระอหุระ มาซดะ กำจัดให้หมดสิ้นไป แต่การที่พระอหุระ มาซดะ จะเอาชนะอหริมันได้เร็วเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับชาวโลกเป็นสำคัญ กล่าวคือพระอหุระ มาซดะ นอกจากจะมีเทพบริวารคอยช่วยเหลือพระองค์แล้ว พระองค์ยังต้องการความช่วยเหลือจากชาวโลกด้วย ถ้าจะให้พระองค์เอาชนะอหริมันได้เร็ว ทุกคนจะต้องช่วยขับไล่อหริมัน นั่นก็คือต้องคิดดี ทำดี พูดดี พยายามกำจัดความชั่วให้ออกไปจากจิตใจ แต่ตรงกันข้ามหากใครคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่วเมื่อไร ก็หมายถึงว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของอหริมัน ความชั่วเป็นพวกพ้องของอหริมัน แต่ความดีเป็นพวกพ้องของพระอหุระ มาซดะ ใครจะเป็นฝ่ายใดก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเขาเอง เพราะฉะนั้นกองทัพของอหุระ มาซดะ และอหริมันจึงรบกันตลอดเวลาที่สมรภูมิคือจิตใจของแต่ละคน หากใครยึดมั่นในความดีก็จะเป็นพวกพ้องของพระอหุระ มาซดะ ทุกเช้าปีศาจแห่งความเกียจคร้านจะมาคอยกระซิบที่หูของคนว่า นอนเถิดยังไม่ถึงเวลาลุกขึ้น แต่ผู้ใดใจแข็งลุกขึ้นผู้นั้นจะได้เข้าไปในสวรรค์เป็นคนแรก
เกี่ยวกับเรื่องโลกหน้า ศาสนาโซโรอัสเตอร์สอนว่า วิญญาณเป็นอมตะไม่ตายตามร่างกาย กล่าวคือเมื่อคนตายแล้ว วิญญาณจะวนเวียนอยู่กับร่างกายอยู่ 3 วัน 3 คืน แล้วครั้นรุ่งขึ้นวันที่ 4 วิญญาณจึงไปสู่สถานที่ตัดสินบุญบาป ซึ่งพระมิตระทรงเป็นผู้ตัดสินโดยใช้ตราชั่งบุญ-บาปชั่ง จากนั้นก็จะไปขึ้นสะพานชินวัต (Chinvat) วิญญาณที่ทำความดีไว้มากก็จะเดินไปตามสะพานอย่างสะดวกสบาย สะพานนั้นจะขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ และมีเทพอัปสรคอยช่วยเหลือและนำทางวิญญาณจะถามเทพอัปสรว่าท่านเป็นใคร เทพอัปสรจะตอบว่าฉันเป็นอัตตาของท่านเป็นตัวแทนความสะอาด ความบริสุทธิ์ทั้ง 3 คือ ทางกาย วาจา และใจ ที่ท่านประกอบมาแล้ว ครั้นแล้วเทพอัปสรก็นำวิญญาณนั้นไปสู่สวรรค์ดินแดนแห่งความสว่าง ความสุข ความสวยงามและความหอม อยู่กับพระอหุระ มาซดะ ชั่วนิรันดร ส่วนคนที่ทำความชั่วไว้มาก ก็จะเดินไปบนสะพานด้วยความยากลำบากเพราะสะพานเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวาง และสะพานนั้นจะแคบลงทุกทีจนกลายเป็นคมดาบที่คมกริบ อีกทั้งมีแม่มดตนหนึ่ง รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวคอยต้อนรับ วิญญาณจะถามแม่มดว่าท่านเป็นใคร แม่มดตอบว่าเราคืออัตตาของท่าน เป็นตัวแทนความสกปรก ความไม่บริสุทธิ์ทั้ง 3 อย่างทางกาย วาจา และใจ ที่ท่านได้กระทำไว้แล้ว ว่าแล้วแม่มดก็จะนำวิญญาณลงนรก ซึ่งเป็นดินแดนแห่งความมืดและความทุกข์ทรมาน อยู่กับอหริมันตลอดไป แต่การตกนรกจะไม่ตกชั่วนิรันดร เขาจะตกนรกไปจนกว่าจะได้รู้สึกสำนึกตัวกลัวความชั่วไม่กล้าทำบาปกรรมอีก หลังจากนั้นพระเจ้าก็จะนำเขาขึ้นจากนรกไปอยู่บนสวรรค์อยู่กับพระอหุระ มาซดะ ชั่วนิรันดร ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงจุดหมายสูงสุด ก็โดยการประพฤติกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์และบูชาพระอหุระ มาซดะ ด้วยความภักดี ด้วยเหตุนี้การเกิดมาเป็นมนุษย์ในโลกนี้ จึงมีเพียงครั้งเดียว แต่ก็มีข้อความบางแห่งกล่าวว่า ทุกๆ 100 ปี จะมีบุรุษวิเศษ 3 คน คือ ออร์เษดาร์ (Aushedar) ออร์เษดาร์ มาห์ (Aushedar Mah) และโสษยันต์ (Soshyant)ผลัดเปลี่ยนกันมาโปรดชาวโลก บุรุษทั้ง 3 นั้นเป็นอวตารของโซโรอัสเตอร์ และจะมาเกิดในครรภ์ หญิงพรหมจารีย์ เหมือนมารดาของโซโรอัสเตอร์ จากข้อความนี้ แสดงว่ามีการกลับมาเกิดอีกเหมือนกัน
10.6. พิธีกรรมที่สำคัญ
10.6.1 พิธีปฏิญาณตนเข้านับถือศาสนา
ชาวปาร์ซีวัยรุ่นทุกคนจะต้องเริ่มต้นเข้าปฏิญาณตนนับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ เมื่ออายุ ครบ 7 ปี (ในอินเดีย) และ 10 ปี (ในอิหร่าน) เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว จะได้รับเสื้อ 1 ตัว และ กฤช 1 เล่ม ไว้เป็นเครื่องประดับกายตลอดชีวิต
การทำให้บริสุทธิ์มี 3 แบบ ดังนี้
1. พัดยับ (Padyab) การชำระล้าง
2. นาหัน (Nahan) การอาบ
3. บารสีนัม (Barsenum) พิธีกรรมซับซ้อน กระทำในสถานที่พิเศษ
การทำให้บริสุทธิ์มีการสวดมนต์ ปาเทต (Patet) เป็นการกล่าวปฏิญาณว่า จะไม่ทำบาปกรรมอีก และสารภาพบาปต่อหน้าพระชั้นทัสทุร หรือพระชั้นธรรมดา ถ้าหากไม่มีพระชั้นทัสทุร
10.6.2 พิธีบูชาไฟ
ชาวโซโรอัสเตอร์ถือว่า ไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้า ผู้ทรงแสงสว่างยิ่งกว่าแสงสว่างใดๆ ผู้ทรงประทานความอบอุ่นให้แก่มวลมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อไปอยู่ที่ใดย่อมจะเผาผลาญสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายให้สูญสิ้น ไป เหลือแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ ความสว่างไสว ความอบอุ่น ศาสนิกชนแห่งโซโรอัสเตอร์ จึงนิยมบูชาไฟ โดยจะจุดเพื่อบูชาไว้ไม่ขาดสายจะคอยระวังไม่ให้ไฟดับ จะต้องตามไฟเป็นเครื่องบูชาไว้เป็นนิจ จะจุดไฟให้ลุกโพลงในที่บูชาหรือในโบสถ์อยู่ตลอดเวลา
10.6.3 พิธีนมัสการตอนสายัณห์
พอแดดร่มลมตกแต่ละวัน ชาวศาสนิกแห่งโซโรอัสเตอร์ที่ประเทศอินเดียโดยเฉพาะที่เมืองบอมเบย์ซึ่งเป็น สถานที่ที่เป็นศูนย์กลางของศาสนานี้ จะพากันแต่งตัวด้วยผ้าขาวมีสไบพาดบ่าลอยชายลงทั้งสองข้างไปชุมนุมพร้อมกัน อย่างเป็นระเบียบ ณ ชายหาดแห่งทะเล เพื่อประกอบพิธีนมัสการตอนสายัณต์ โดยการโค้งตัวลงบรรจงจุ่มมือทั้งสองในน้ำทะเล แล้วเอาขึ้นมาแตะที่หน้าผากอย่างช้าๆ แล้วจับชายสไบทั้งสองมาแตะหน้าผากอีกครั้ง ปลดสไบมาคาดพุงแล้วหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ซึ่งกำลังจะตกลับขอบฟ้า พร้อมสวดมนต์พร้อมกันเบาๆ ว่า
"หุมะตา, หะขะตา, หะเวสะตา" (ข้าทั้งปวงขอสรรเสริญผู้มีกาย วาจา และใจสุจริต)หลังจากนั้นพวกเขาก็จะก้มศีรษะลงนมัสการไปทางทิศทั้ง 4 ทิศและ 3 ครั้ง แล้วเอามือทั้งสองจุ่มน้ำทะเลมาแตะหน้าผากอีกครั้ง
10.6.4 พิธีศพ
เมื่อมีคนตาย ชาวโซโรอัสเตอร์ จะไม่เผาศพหรือฝังศพ จะไม่ทิ้งซากศพลงในน้ำเพราะโดยหลักการแล้ว ศาสนานี้ถือว่าไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งพระเจ้า จึงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก และในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า ดิน น้ำ ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ถ้าเผาศพก็เกรงว่าจะทำให้ไฟหมดความศักดิ์สิทธิ์และแปดเปื้อนด้วยสิ่งสกปรก ถ้าจะฝังดิน ก็เกรงว่าดินจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ หรือทิ้งซากศพลงในน้ำ ก็เกรงว่า น้ำจะสกปรกและหมดความศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงนำเอาศพไปวางไว้บนหอคอยที่สูงซึ่งสร้างไว้เป็นพิเศษ เพื่อการนี้เรียกชื่อว่า หอคอยแห่งความสงบ (The Tower of Silence) ทิ้งไว้อย่างนั้นให้เป็นอาหารของแมลงของมด ของสัตว์อื่นๆ เช่น นก อีกา อีแร้ง หรือแม้แต่สุนัข เป็นต้น
10.7 นิกายในศาสนา
นิกายที่สำคัญของศาสนาโซโรอัสเตอร์ มี 2 นิกาย คือ
1. นิกายชหันชหิส นิกายนี้คงถือคัมภีร์ที่ว่าด้วยการที่พระเจ้าแจ้งเรื่องราวต่างๆ ลงมาทางศาสดาโซโรอัสเตอร์เป็นสำคัญ ซึ่งคัมภีร์ดังกล่าวเป็นคัมภีร์ที่เกิดขึ้นใหม่ในสมัยต้นศตวรรษ ที่ 3 อันได้มีการแปลคัมภีร์ของศาสนานี้เป็นภาษาปาลวี ซึ่งใช้ในเปอร์เซียสมัยนั้น ชื่อว่า คัมภีร์เมนอกิขรัท
2. นิกายกัทมิส นิกายนี้ยึดมั่นในคัมภีร์ที่ว่าด้วยพิธีกรรมต่างๆ อันได้แก่ คัมภีร์ ชะยิต-เนชะยิต ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยเดียวกันกับคัมภีร์เมนอกิขรัท
10.8 สัญลักษณ์ของศาสนา
สัญลักษณ์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ได้แก่ โคมไฟ ซึ่งมีความหมายถึงแสงสว่าง และความอบอุ่นอันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงคุณลักษณะของพระเจ้าอาหุรมัสดา ผู้ทรงความบริสุทธิ์ ผู้ทรงแสงสว่างยิ่งกว่าแสงสว่างอันใด ผู้ประทานความอบอุ่นให้แก่มนุษย์ทั้งหลาย ไฟผู้ให้กำเนิดแสงสว่างย่อมเผาผลาญสิ่งสกปรกให้เหลือแต่ความบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนพระเจ้าประทับอยู่ที่ใด ที่นั่นย่อมมีแต่ความบริสุทธิ์
10.9 ฐานะของศาสนาในปัจจุบัน
ศาสนาโซโรอัสเตอร์1 เกิดและเจริญในประเทศอิหร่านกว่า 1,000 ปี ส่วนเหตุที่ทำให้ศาสนานี้อันตรธานหายไปจากประเทศอิหร่านก็เพราะถูกอำนาจต่าง ชาติต่างศาสนาเข้าไปรุกรานบังคับให้เปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาของตน ใครขัดขืนจะถูกฆ่า จนชาวโซโรอัสเตอร์ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา ต้องอพยพหนีมาอยู่ที่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดียและประเทศอื่น จนบอมเบย์เป็นศูนย์กลางของศาสนาโซโรอัสเตอร์ในปัจจุบัน ศาสนิกชนของศาสนาโซโรอัสเตอร์ในปัจจุบัน มีประมาณ 180,000 คน โดยยังอยู่ที่ประเทศอิหร่านประมาณ 30,000 คน ซึ่งเรียกว่า พวกกาบารส์ (Gabars) คำว่ากาบาร์ไม่ใช่เป็นชื่อที่ชาวโซโรอัสเตอร์ตั้งขึ้น หากแต่เป็นคำที่มุสลิมเรียกแปลว่าพวกนอกศาสนา ส่วนชาวโซโรอัสเตอร์เรียกตัวเองว่าซาร์ดัสเตียน หรือบาห์ดินัน ชาวโซโรอัสเตอร์ในอิหร่านส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองยาซาด เมืองเกอมันและกรุงเตหะราน และอีกประมาณ 150,000 คน อยู่ที่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย ที่เรียกว่าพวกปาร์ซี ถึงแม้จำนวนศาสนิกชนศาสนาโซโรอัสเตอร์จะมีน้อย แต่ชายโซโรอัสเตอร์มักจะมีการศึกษาดีมีฐานะมั่นคง และควบคุมเศรษฐกิจในอินเดีย เช่นเป็นเจ้าของโรงแรมที่ดีที่สุด นายห้างที่ใหญ่ที่สุด เจ้าของบริษัทขายขนแกะที่ใหญ่ที่สุด เจ้าของโรงงานปอกะเจาที่ใหญ่เจ้าของโรงถลุงเหล็กและบริการทางอากาศ ทั้งได้รับยกย่องว่าเป็นพวกที่ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมแต่ถึงกระนั้น
ชาวโซโรอัสเตอร์ก็ดูจะไม่สนใจเผยแผ่ศาสนาให้แพร่หลายออกไปสู่โลกภายนอก แต่ยังพอใจ ที่จะอนุรักษ์ไว้สำหรับชาวโซโรอัสเตอร์ด้วยกันเท่านั้น ทั้งมีทีท่าจะถูกศาสนาอื่นกลืนอีกด้วยส่วนชาวโซโรอัสเตอร์ในประเทศอิหร่าน ก็อยู่ในฐานะลำบากเพราะถูกมุสลิมรังแก และโดยเฉพาะสมัยที่อยาโตลาห์ รูโฮลล่าห์ โคไมนี ขับไล่พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่านออกนอกประเทศแล้วขึ้นปกครองบ้านเมืองนั้น ชาวโซโรอัสเตอร์และศาสนิกในศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาอิสลามได้รับความเดือดร้อนมาก เพราะถูกทำลายล้าง
free programes
![]() |
LABELS
- Khmer krom (5)
- Khmer news (73)
- Phật giáo (8)
- vietnam news (34)
- world news (36)
- พระพุทธศาสนา (3)
- កំណាព្យ (5)
- ប្រវត្តិសាសនាក្នុងលោក ជាភាសាសៀម (6)
- ព្រះពុទ្ធសាសនា (5)
- ភូមិសាស្ត្រកម្ពុជាក្រោម (3)
- ភូមិសាស្ត្រនយោបាយ (15)
- ស្រីហិតោបទេស (3)
FOLLOWERS
FROM ALL COUNTRY
VIET NAM SONG
CHINESE SONG
ENGLISH SONG
Tuesday, 8 September 2009
ศาสนาโซโรอัสเตอร์
Posted by
sereykh
at
20:09
0
comments
Labels: ប្រវត្តិសាសនាក្នុងលោក ជាភាសាសៀម
ศาสนาพื้นฐานดั้งเดิม
ศาสนาพื้นฐานดั้งเดิม
2.1 คุณลักษณะของศาสนาพื้นฐานดั้งเดิม
2.1.1 การมีความเชื่อในเรื่องพลังอำนาจที่ไร้ตัวตนแต่มีมหิทธานุภาพ (Impersonal power)
2.1.2 การมีความเชื่อในเรื่องวิญญาณหรือผี (Animism)
2.1.3 การมีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ (Magic)
2.1.4 การมีความเชื่อในเรื่องการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคต (Divination)
2.1.5 การมีความเชื่อในเรื่องข้อห้ามหรือที่เรียกว่า ตาบู (Taboo)
2.1.6 การมีความเชื่อในเรื่องรูปลักษณ์หรือโตเต็ม (Totem)
2.1.7 การมีความเชื่อในเรื่องการบวงสรวงและสังเวยต่างๆ (Sacrifice)
2.1.8 การมีความเชื่อในพิธีกรรม (Rites of Passage)
2.1.9 การมีความเชื่อในเรื่องการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (Ancestor Worship)
2.2 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์ที่นับถือศาสนาพื้นฐานดั้งเดิม
2.2.1 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์นีแอนเดอธัล (Neanderthal)
2.2.2 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon)
2.2.3 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์ยุคหินใหม่
2.2.4 ศาสนาและความเชื่อของพวกอเมริกันอินเดียน
2.2.5 ศาสนาและความเชื่อของชาวพื้นเมืองแอฟริกัน
แนวคิด
1. นักปราชญ์ศาสนาส่วนมาก นิยมจัดให้ศาสนาและความเชื่อทั้งหลายในยุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่ในกลุ่มของ ศาสนาดั้งเดิม ซึ่งในปัจจุบันนี้ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้างในชนเผ่าที่ล้าหลังทางวัฒนธรรม
2. ความเชื่อของชนพื้นเมืองทั่วๆ ไปมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก โดยเฉพาะแกนหลักแห่งความเชื่อโดยทั่วๆ ไปยังคงมีลักษณะที่ร่วมกัน อันได้แก่ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์ นีแอนเดอธัล ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์โครมันยอง ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์ ยุคหินใหม่ ศาสนาและความเชื่อของชาวอเมริกันอินเดียน ศาสนาและความเชื่อของชาวพื้นเมือง แอฟริกัน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจถึงคุณลักษณะพื้นฐานต่างๆ ของศาสนาพื้นฐานดั้งเดิมได้อย่างถูกต้อง
2. เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจถึงศาสนาและความเชื่อต่างๆ ของมนุษย์ที่นับถือศาสนาพื้นฐานดั้งเดิมได้อย่างถูกต้อง
บทที่ 2 ศาสนาพื้นฐานดั้งเดิม
2.1 คุณลักษณะของศาสนาพื้นฐานดั้งเดิม
นักปราชญ์ศาสนาส่วนมาก นิยมจัดให้ศาสนาและความเชื่อทั้งหลายในยุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่ในกลุ่มของ ศาสนาดั้งเดิม ซึ่งหมายถึงศาสนาที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาทางความคิด ยังหลงยึดติดในเรื่องของไสยศาสตร์และโชคลาง ปัจจุบันศาสนาดั้งเดิมนี้ยังคงหลงเหลือ อยู่บ้างในชนเผ่าที่ล้าหลังทางวัฒนธรรม เช่น ศาสนาของชาวอเมริกันอินเดียน ศาสนาของชาวพื้นเมืองในออสเตรเลีย และศาสนาของชาวพื้นเมืองแอฟริกัน เป็นต้น ศาสนาพื้นฐานดั้งเดิมนี้มีลักษณะที่น่าสังเกตดังนี้
2.1.1 การมีความเชื่อในเรื่องพลังอำนาจที่ไร้ตัวตนแต่มีมหิทธานุภาพ (Impersonal power)
พลังอำนาจที่ชาวเกาะเมลานีเซียนเรียกว่า �มานา� เป็นความเชื่อพื้นฐานดั้งเดิมที่ นักการศาสนาส่วนมากสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดขึ้นก่อนความเชื่อในเรื่องผี (Anima) ความเชื่อ ชนิดนี้ เป็นความศรัทธาในอำนาจที่ไม่มีตัวตน เป็นอบุคคล (impersonal) เป็นความเชื่อของมนุษย์ในระยะแรกๆ ที่มีต่ออำนาจของธรรมชาติ แล้วจึงพัฒนามาเป็นความเชื่อในเรื่องผี ผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้จะแสดงออกด้วยการทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์ธรรมชาติ แล้วกระทำตามความเชื่อนั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง หรืออาจเลี่ยงการกระทำบางชนิดที่จะทำให้เกิดโทษ จึงกลายเป็นข้อห้ามต่างๆ (Taboo) ที่ปฏิบัติกันสืบมา จนดูเหมือนว่าเป็นการกระทำที่งมงายไร้เหตุผล เพราะผู้ปฏิบัติตามส่วนมากไม่ต้องการคำอธิบายในการกระทำนั้นๆ เพียงแต่รู้ว่าต้องไม่ทำสิ่งนั้นๆ เพราะเป็นข้อห้าม และถ้าทำไปเมื่อใดจะทำให้เกิดโทษอย่างรุนแรงแก่ตน และบางครั้งอาจถึงชีวิตได้ อำนาจอันทรงพลังนี้จึงต่างจากผี เพราะผีอาจให้คุณหรือโทษแก่เราได้ ขึ้นอยู่กับการเซ่นไหว้ และการเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ แต่มนุษย์สามารถหลีกเลี่ยงอำนาจของ มานาได้ ถ้าเราทำถูกต้องตามกฎหรือข้อห้าม อำนาจอันทรงพลังนี้อาจมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาษาของแต่ละท้องถิ่น แจ็ค ไฟน์กัน1 ได้อธิบายว่า อำนาจอันทรงพลังนี้ในอเมริกามีชื่อเรียกหลายอย่าง เพราะในอเมริกามีชนเผ่าอินเดียนแดงหลายกลุ่ม และแต่ละกลุ่มก็เรียกพลังอำนาจของธรรมชาติ แตกต่างกัน เช่น เผ่าอัลกอนควินส์ (Algonquins) เรียก �มานิตู� (Manitou) เผ่าอีโรคัวส์ (Iroquois) เรียก �โอเรนดา� (Orenda) เผ่าซูซ์ (Sioux) เรียก �วากันดา� (Wakanda)
2.1.2 การมีความเชื่อในเรื่องวิญญาณหรือผี (Animism)
มนุษย์ในยุคดั้งเดิมมักมีความเชื่อว่า โลกที่อาศัยอยู่นี้มีพลังวิญญาณที่สามารถติดต่อกับมนุษย์ได้ วิญญาณเหล่านี้มีอยู่ในทุกๆ สิ่ง เช่น สัตว์ พืช ก้อนหิน ก้อนดิน ลำธาร แม่น้ำ ภูเขา สายลม ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และสามารถให้คุณหรือโทษแก่ผู้ที่กระทำไม่ถูกต้องได้ วิญญาณนี้มีลักษณะเป็นตัวตน นักการศาสนาเรียกว่า �อนิมา� (Anima) ซึ่งมาจากภาษาละติน แปลว่า �ลมหายใจแห่งชีวิต�
ความเชื่อแบบอนิมาหรือผี ทำให้คนสมัยนั้นนิยมการเซ่นไหว้ หรือกระทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อให้ผีหรือวิญญาณเกิดความพอใจ จะได้รับสิ่งที่ตนปรารถนา ความเชื่อในเรื่องนี้ไม่ได้มีความหมายเฉพาะผีเปรต ผีตานี ผีตะเคียน ผีป่า ผีบ้าน หรือผีบรรพบุรุษเท่านั้น แต่รวมไปถึงเทวดา นางฟ้า เจ้าป่า เจ้าเขา และสิ่งต่างๆ ที่เป็นวิญญาณมีอำนาจบันดาลให้เกิดเป็นสรรพสิ่ง คนสมัยก่อนเมื่อเวลาเข้าป่าล่าสัตว์มักจะทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้เพื่อขอ อนุญาตล่าสัตว์ พร้อมกับ ขอพรให้ล่าสัตว์ได้มากๆ และถ้าตัดต้นไม้ก็ต้องทำพิธีกรรมขออนุญาตตัดต้นไม้เท่าที่จำเป็น พร้อมทั้งให้สัญญาว่าจะใช้ประโยชน์จากไม้เหล่านี้ให้มากที่สุด แม้แต่ก้อนดิน ก้อนหิน ภูเขาและลำธาร คนสมัยก่อนจะให้ความเคารพยำเกรงกันมาก ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่า พวกที่นับถือผีหรือวิญญาณต่างๆ มักเป็นพวกที่พยายามเข้าใจชีวิต และมีความนับถือบูชาในธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ศาสนาโดยทั่วๆ ไปที่มีพัฒนาการสูงกว่าศาสนาดั้งเดิม ก็ให้ความเคารพนับถือในธรรมชาติด้วยเช่นกัน เช่น ชาวฮินดูยกย่องแม่น้ำคงคาว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงเกิดความนิยมที่จะทิ้งซากศพหรือแม้แต่อาบน้ำล้างหน้าในแม่น้ำสายนี้ ชาวอิสลามให้ความเคารพก้อนหินสีดำ ซึ่งเรียกว่า หินกาบะ ตั้งใจเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลไปแสวงบุญ เพื่อจะได้จุมพิตหินสีดำ ศักดิ์สิทธิ์นี้ ชาวคริสต์นิยมนำต้นไม้ประดับที่บ้านในวันคริสต์มาส ทั้งๆ ที่ต้นไม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดของพระเยซู และชาวพุทธก็ให้ความนับถือในธรรมชาติเช่นกัน ในพระวินัยได้มี ข้อห้ามภิกษุสงฆ์ตัดต้นไม้ทุกชนิด โดยเฉพาะต้นไม้ใหญ่ ผู้ใดตัดต้องอาบัติสังฆาทิเสส ศาสดาของศาสนาส่วนมากให้ความสำคัญแก่ธรรมชาติเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความนับถือธรรมชาติในแง่ของการเห็นความสำคัญและคุณค่าได้ถูกเปลี่ยนไปโดย ศาสนิกชนรุ่นหลัง ทำให้เกิดเป็นความหลงมงาย ปะปนกับความเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณ ทำให้ศาสนาเหล่านี้มีลักษณะทางความคิดของศาสนาพื้นฐานดั้งเดิมแฝงอยู่ด้วย เช่นกัน
2.1.3 การมีความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ (Magic)
ไสยศาสตร์จัดเป็นความเชื่อเก่าแก่ของมนุษยชาติ นับตั้งแต่เริ่มมีศาสนา เป็นสิ่งที่คู่กันมา กับอารมณ์อันปราศจากเหตุผลของมนุษย์ ซึ่งเป็นความรู้สึกล้วนๆ ตามธรรมชาติของสัตว์โลก และเป็นความพยายามของมนุษย์ที่จะบังคับบางสิ่งบางอย่างให้เป็นไปตามเป้าหมาย ของตน โดยอาศัยอำนาจอันลึกลับเหนือธรรมชาตินั้น
ท่านพุทธทาสภิกขุ1 ได้กล่าวถึงไสยศาสตร์ว่า ไสยศาสตร์เป็นวิธีการพ้นทุกข์ของมนุษย์ในระดับหนึ่ง เมื่อครั้งยังขาดปัญญาในการเข้าใจความจริงของโลกและชีวิต ไสยศาสตร์มาจากคำว่า �ไสยะ� แปลว่า �นอนหลับ� ซึ่งตรงข้ามกับ �พุทธะ� แปลว่า �ตื่นอยู่� ไสยศาสตร์จึงมีรากฐานอยู่บนความไม่รู้ด้วยปัญญาโดยอาศัยความเชื่อเป็นพื้น ฐาน จึงเหมือนกับเป็นความรู้ของคนหลับ กล่าวคือ หลับด้วยโมหะและหลับด้วยอวิชชา บุคคลใดที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือมีสัมพันธ์กับศาสตร์ชนิดนี้ จะทำให้หลงติดในวัตถุธรรม กระทำทุกอย่างสนองอารมณ์ ความต้องการของตน ไสยศาสตร์จึงไม่ใช่ทางหลุดพ้นกิเลสและตัณหา สำหรับพุทธศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ทำให้บุคคลถอนตนออกมาจากความยึดติดในสิ่งทั้ง ปวง โดยใช้ปัญญาคิดพิจารณาหาเหตุผลในการปฏิบัติทุกขั้นตอนจนบรรลุถึงซึ่งนิพพาน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ทำให้บุคคลเป็นอิสระจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก บุคคลที่สามารถบรรลุได้จนถึงขั้นนี้จึงได้ชื่อว่า �พุทธะ� หมายถึง ผู้ตื่นจากกิเลส ตัณหาและอวิชชา มีปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งทั้งหลายว่า ไม่มีสิ่งใดน่าเอา ไม่มีสิ่งใดน่าเป็น บุคคลผู้เป็นพุทธะ จึงเป็นผู้ที่พ้นจากกระแสโลก หมดสิ้นความทุกข์อย่างแท้จริง
ไสยศาสตร์นั้นมี 2 แบบ คือ �ไสยดำ� หรือ �ไสยศาสตร์� เป็นไสยศาสตร์ฝ่ายดำที่ให้โทษแก่มนุษย์ ทำให้เกิดความเสียหาย ความเดือดเนื้อร้อนใจกับมนุษย์ ส่วนแบบ �ไสยขาว� หรือ �ไสยศาสตร์ขาว� เป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายที่ทำคุณให้กับมนุษย์ อาจารย์กีรติ บุญเจือ1 ได้จำแนกชนิดของไสยศาสตร์ เป็น 5 ชนิดดังนี้
1. ไสยศาสตร์แบบตัวแทนผูกมัด (Representative magic)
ไสยศาสตร์ชนิดนี้เป็นไสยศาสตร์ที่ผู้มีพลังจิต หรือมีคาถาอาคมกระทำต่อวัตถุอย่างใด อย่างหนึ่งที่ถือเป็นตัวแทนของบุคคลที่ตนต้องการกระทำ เช่น การปั้นชายหญิงให้กอดกันแล้วทำพิธีตามลัทธิก็จะเกิดผลสะท้อนไปถึงชายหญิงที่ ต้องการ ให้มีความปรารถนาซึ่งกันและกัน การทำเสน่ห์ยาแฝด การฝังรูปฝังรอยนี้ ผู้ถูกกระทำจะมีลักษณะหงุดหงิดง่าย ใบหน้าหมองคล้ำ ขอบตาเขียว วิธีแก้ไขยากมาก นอกจากครูอาจารย์ที่เจริญศีลบริสุทธิ์ และทรงพุทธาคมขั้นสูงจึงจะทำได้ นอกจากนี้ยังมีวิธีการใช้เข็มทิ่มแทงตุ๊กตา ซึ่งเป็นตัวแทนของศัตรู เพื่อทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมานจนกระทั่งตาย พิธีกรรมชนิดนี้นิยมกันมากในแอฟริกา และในบางกลุ่มของชนชาวเขาในประเทศไทย การทำไสยศาสตร์แบบตัวแทนผูกมัดนี้เริ่มมาตั้งแต่สมัยของมนุษย์โครมันยอง พวกเขานิยมเขียนภาพสัตว์บนผนังถ้ำ แล้วใช้อาวุธกระหน่ำแทงไปที่รูปภาพเหล่านั้น หรือบางภาพอาจเขียนภาพสัตว์ที่กำลังถูกล่าหรือถูกแทงจนบาดเจ็บ เพื่อเป็นการ ตัดไม้ข่มนามก่อนออกล่าสัตว์ ซึ่งจะทำให้จับสัตว์ได้ง่ายมากขึ้น
2. ไสยศาสตร์แบบชิ้นส่วนผูกมัด (Part for all magic)
ไสยศาสตร์ชนิดนี้เกิดจากการนำเอาชิ้นส่วนของร่างกายบางส่วนมากระทำตาม พิธีกรรม เพื่อให้เป็นไปตามความปรารถนาของตนที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่งอาจเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อเป็นโทษแก่ผู้อื่น เช่น การใช้ขี้ไคลของตนมาทำตามพิธีกรรมแล้วใส่ในน้ำหรืออาหารให้ชายหรือหญิงที่ตน หลงรักได้กินเข้าไป จะทำให้เกิดความลุ่มหลงอย่างขาดสติสัมปชัญญะเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมอื่นๆ อีก ได้แก่ การใช้ชิ้นส่วนต่างๆ ของฝ่ายตรงข้าม เช่น ผม เล็บ ขน หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมากระทำพิธีเสกเป่าด้วยคาถาอาคมเพื่อให้คนๆ นั้นได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
3. การเข้าทรง (Being Medium)
ไสยศาสตร์ชนิดนี้เกิดจากการยินยอมให้วิญญาณใดวิญญาณหนึ่ง ล่องลอยมาสิงอยู่ ในตัวและกระทำการต่างๆ โดยอาศัยร่างทรงเป็นสื่อ
4. การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง (Fetichsm)
ไสยศาสตร์ชนิดนี้เกิดจากใช้วัตถุอย่างใดก็ได้เป็นสื่อชักนำพลังอำนาจที่ เหนือธรรมชาติเข้ามาสิงสถิตอยู่ในวัตถุนั้นๆ โดยใช้คำพูดหรือภาษาบางอย่างที่ถูกเคล็ด ซึ่งเรียกว่า �คาถาอาคม� ทำให้วัตถุชิ้นนั้นมีฤทธิ์ มีอำนาจพิเศษ สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เป็นเจ้าของได้ ในการทำเครื่องรางของขลังนี้ อาจใช้วัสดุได้หลายชนิด เช่น ไม้ โลหะ หิน กระดูกสัตว์ ขนนก ขนสัตว์บางชนิด (เช่น ขนเม่น และขนหางช้าง เป็นต้น) หรือในบางครั้งอาจจะใช้พวกอาวุธต่างๆ มาลงอาคมก็ได้ เพื่อทำให้อาวุธนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น มีฤทธานุภาพในการประกอบกิจกรรมตามที่ตนต้องการ
5. ชามาน (Shamanism)
ไสยศาสตร์ชนิดนี้เกิดจากการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ฝึกฝนตนเองจนมีฤทธิ์อำนาจ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นกระทำการต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ ชามาน อาจหมายถึงบุคคลที่มีฤทธิ์โดยธรรมชาติ จนสามารถทำบางสิ่ง บางอย่างได้ เช่น รักษาโรคได้ ห้ามฝนไม่ให้ตก และมีความสามารถในการมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า เป็นต้น ตัวอย่างในกรณีที่รักษาโรคได้ เช่น ความเชื่อที่ว่า ลูกคนสุดท้องมีฤทธิ์รักษาโรคต้อที่ตาได้โดยการทำพิธีตัดเม็ดข้าวสารบนทะนาน ตาเดียว ความเชื่อที่ว่าคนที่เกิดมาโดยเอาเท้าออกก่อน มีอำนาจสามารถใช้เท้าเขี่ยข้างนอกลำคอทำให้ก้างหรือกระดูกที่ติดคอหลุดได้
2.1.4 การมีความเชื่อในเรื่องการทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอนาคต (Divination)
การทำนายเหตุการณ์ในอนาคตเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของพ่อมดหรือเจ้าคาถาอาคม ในยุคดึกดำบรรพ์ เราอาจกล่าวได้ว่าเป็นหน้าที่สำคัญของบุคคลเหล่านี้ที่จะต้องกระทำควบคู่ไป กับการรักษาโรค และป้องกันภัยพิบัติให้กับกลุ่มชนของตน การทำนายเหตุการณ์ ล่วงหน้านี้ อาจกระทำได้หลายอย่างคือ
1. การนั่งทางในติดต่อกับวิญญาณหรืออำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาติเพื่อบอกความเป็นไปในอนาคต
2. การนั่งทางในโดยใช้อำนาจพิเศษที่มีอยู่ในตนเองให้เห็นความเป็นไปในอนาคต
3. โดยการเสี่ยงทาย เช่น การเสี่ยงทายของคนจีนโบราณเมื่อต้องการล่วงรู้อนาคต ด้วยการนำเอากระดองเต่ามาเผาให้ร้อนจนแตกแล้วทำนายเหตุการณ์ โดยอ่านจากรอยแตกของกระดองเต่า
ในประเทศกรีกยุคโบราณ คนในสมัยนั้นนิยมไปหานักบวชในวิหารเดลฟี (Delphi) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเทพอพอลโล นักบวชผู้หญิงจะเป็นคนติดต่อกับเทพเจ้า โดยนั่งบนเก้าอี้สามขา แล้วสูดไอดินของวิหารเข้าไป จากนั้นจะพูดออกมาเป็นภาษาที่นักบวชชาย จะเป็นผู้ตีความหมายและทำหน้าที่รับข่าวสารจากเทพเจ้ามาบอกคนอื่นๆ ส่วนมากแล้วข่าวสาร เหล่านั้นเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
2.1.5 การมีความเชื่อในเรื่องข้อห้ามหรือที่เรียกว่า ตาบู (Taboo)
วิถีชีวิตของมนุษย์ในยุคดั้งเดิมมีข้อห้ามต่างๆ มากมาย ข้อห้ามเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ระบุวิธีการหลีกเลี่ยงการกระทำบางอย่างที่อาจ ทำให้เกิดโทษ ชาวหมู่เกาะโพลีเนเซียนเรียก ข้อห้ามเหล่านี้ว่า �ตาบู� โดยทั่วๆ ไปแล้วข้อห้ามเหล่านี้จะเกี่ยวกับบุคคลพิเศษของคนใน สมัยนั้น ได้แก่ กษัตริย์ หัวหน้าเผ่า นักรบ พระ คนทรง และหมอผี เป็นต้น
ข้อห้ามเหล่านี้ ได้แก่ ข้อห้ามที่เกี่ยวกับการจับหรือแตะต้องสิ่งของต่างๆ ที่ผู้มีอำนาจสูงใช้ โดยขาดความเคารพยำเกรง หรือแตะต้องโดยไม่ขออนุญาต ซึ่งข้อห้ามเหล่านี้ในประเทศไทยก็ได้ปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาล แม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อนก็มีปฏิบัติเช่นเดียวกัน และรวมไปถึงข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้สามัญชนมองพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิ ถึงแม้ว่าพระองค์จะเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์ ผู้ที่พบเห็นจะต้องก้มหน้าทุกคน ทั้งนี้เพราะแต่ก่อนมาเชื่อกันว่ากษัตริย์และองค์จักรพรรดิจัดว่าเป็นบุคคล ที่มีศักดิ์สูง ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมมติเทวราชหรือ อาจเป็นโอรสของพระอาทิตย์ ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดในทุกๆ ทาง ผู้ที่ล่วงละเมิดจะต้องได้รับโทษถึงแก่ชีวิต
ชาวไอยคุปต์โบราณมีข้อห้ามบุคคลเข้าไปในสถานที่ฝังศพของฟาโรห์ ข้อห้ามนี้ก็จัดอยู่ในทำนองเดียวกับที่กล่าวมาแล้วใน ตอนต้น ผู้ละเมิดจะต้องถูกทำลายด้วยอำนาจคำสาปแช่ง ที่พระได้กระทำพิธีกรรมไว้แล้วก่อนปิดสุสานหรือปิรามิด
นอกจากนี้ ยังมีข้อห้ามที่เกี่ยวกับพวกนักบวชและหมอผี ได้แก่ ข้อห้ามบางอย่างที่ไม่ อนุญาตให้คนทรง นักบวช หรือหมอผี กินพืชหรือสัตว์บางชนิด เพราะอาจทำให้อาคมเสื่อมหรืออาจเป็นโทษแก่บุคคลนั้นๆ ได้ ในบางกลุ่มหรือบางเผ่าพันธุ์ มีข้อห้ามนักบวชหญิงที่เป็น พรหมจรรย์แตะต้องชายใดแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม อาจมีผลทำให้เธอถูกลงโทษโดยอำนาจ ศักดิ์สิทธิ์ที่คนในกลุ่มนั้นนับถือ
นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามอื่นๆ ที่ใช้บังคับพฤติกรรมคนทั่วๆ ไป ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ตนเองและสังคม ซึ่งมีดังต่อไปนี้คือ
- ห้ามเหยียบหัวเรือ เพราะเชื่อว่ามีแม่ย่านางหรือนางเรือ ซึ่งอาจให้โทษทำให้เรือคว่ำได้
- ห้ามหญิงมีระดูประกอบพิธีกรรมสำคัญของกลุ่ม ในบางแห่งถึงขั้นจับแยกให้อยู่ต่างหากจากครอบครัวในขณะที่มีระดู- ห้ามกินพืชบางชนิด เช่น น้ำเต้า สำหรับพวกที่มีเครื่องรางของขลังบางคน อาจารย์ผู้เป็นเจ้าของวิชาจะสั่งห้ามกินน้ำเต้าหรือพืชผักบางชนิด เพราะจะทำให้ของขลังและอาคมเสื่อม
- ห้ามใช้มีดเขี่ยขี้เถ้าในกองไฟ
- ห้ามนั่งบนถังตวงข้าว
- ห้ามลอดราวตากกระโปรงผ้านุ่งและผ้าถุงของผู้หญิงอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นจะทำให้โชคไม่ดี และถ้าใส่เครื่องรางของขลังจะทำให้ของเหล่านั้นหมดความศักดิ์สิทธิ์
2.1.6 การมีความเชื่อในเรื่องรูปสัญลักษณ์หรือโตเต็ม (Totem)
ได้แก่เครื่องหมายประจำกลุ่มที่มีบทบาทพิเศษสำหรับคนในกลุ่มนั้นๆ จนอาจกลายเป็น เครื่องรางได้ ผู้ที่เชื่อในเครื่องหมายเหล่านี้จะนำมาทำเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลหรือ ประจำหมู่ของตน ศรัทธาเช่นนี้เรียกว่า ลัทธิโตเต็ม (Totemnism) เช่น พวกนับถืองูจะไม่ยอมทำร้ายหรือกินเนื้องู แต่จะยกย่องและให้ความเคารพอย่างสูงสุด จนถึงขั้นทำเป็นรูปลักษณ์ประจำ เผ่าพันธุ์ของตน ในบางกลุ่มอาจจะนับถือลิงหรือนกยูง เช่น คนบางกลุ่มในประเทศอินเดีย
ลัทธิโตเต็มส่วนมากมีอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ ออสเตรเลียและแอฟริกา ลักษณะของศรัทธาเช่นนี้มีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อทางสังคม (Social Customs) เพราะมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในเผ่าพันธุ์ของตน
คำว่า โตเต็ม มาจากคำว่า �โอโตเตมัน� (Ototeman) ซึ่งเป็นภาษาของพวกอินเดียนแดง เผ่าโอจิบวา (Ojibwa) ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณทะเลสาปเกรท เลค (Great Lake) ของประเทศสหรัฐอเมริกา �โตเต็ม� มีความหมายว่า ความเป็นพี่น้อง ในปี ค.ศ. 1791 คำว่า �โตเต็ม� ได้ถูกนำมาใช้ในประเทศอังกฤษ ทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไปเป็นความเชื่อในเรื่องวิญญาณที่คอยปกป้องคนแต่ละ คน โดยวิญญาณเหล่านี้จะปรากฏออกมาในรูปของสัตว์
ความเชื่อในเรื่องโตเต็มมักจะผสมผสานไปกับการใช้เวทมนตร์คาถา พิธีบูชาบรรพบุรุษ และความเชื่อในเรื่องวิญญาณ จึงทำให้เกิดความยากลำบากที่จะแยกความเชื่อแบบโตเต็ม ออกมาจากความเชื่อแบบอื่นๆ
นักวิชาการทางศาสนวิทยาบางท่าน ได้จำแนกลัทธิโตเต็มออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ลัทธิโตเต็มส่วนบุคคล คือ การแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสัตว์หรือพืชบางชนิด หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งอื่นๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีอำนาจพิเศษที่สามารถปกป้องคุ้มครองบุคคลแต่ละคนที่มี ความผูกพันกับสิ่งนั้นๆ เช่น อินเดียนแดง บางคนอาจจะถูกกำหนดให้มีโตเต็มมาตั้งแต่เกิด อันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวหรือบุตรอาจได้รับโตเต็มผ่านทางบิดาหรือมารดาก็ได้ มีข้อน่าสังเกตคือบุคคลใดที่มีโตเต็มเฉพาะบุคคลอย่างเดียวกันมักจะชอบอาศัย อยู่ในชุมชนเดียวกัน จึงทำให้เกิดลัทธิโตเต็มของกลุ่มชน ลัทธิโตเต็มส่วนบุคคลนี้มักปรากฏอยู่ในพวกพื้นเมืองเดิมในทวีปออสเตรเลีย
2. ลัทธิโตเต็มของกลุ่มชน คือ การแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชนกับสัตว์หรือพืชบางชนิด รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องผูกพันกับกลุ่มชนนั้นๆ และถ่ายทอดต่อๆ กันมาจนเป็นมรดกตกทอด บางกลุ่มจะสร้างตราหรือสัญลักษณ์ รวมทั้งกฎ ข้อห้ามของโตเต็ม สัตว์หรือพืชที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์จะถูกห้ามฆ่าห้ามนำมากิน ประเภทนั้นๆ โตเต็มของกลุ่มชนเป็นมรดกทางบิดาหรือมารดาก็ได้ กลุ่มที่นับถือโตเต็มใดก็จะเชื่อกันว่า กลุ่มชนนั้นสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสัตว์หรือพืชที่เป็นโตเต็ม ของกลุ่มชนนั้น
ลัทธิโตเต็มของกลุ่มชนนี้ยังคงมีอยู่ในทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกาใต้ และประเทศอินเดีย เป็นต้น
2.1.7 การมีความเชื่อในเรื่องการบวงสรวงและสังเวยต่างๆ (Sacrifice)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของคำว่า �บวงสรวง�1 หมายถึง การบูชาเทวดาด้วยเครื่องสังเวยและดอกไม้ธูปเทียน เป็นต้น และคำว่า �สังเวย� หมายถึง การบวงสรวงและการเซ่นสรวง เพราะฉะนั้น การบวงสรวงและการสังเวย ในที่นี้จึงหมายถึง การบูชาและการอ้อนวอนร้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิเช่น เทพเจ้าและเทวดา ดลบันดาลให้เกิดความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา อันเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งของศาสนาดั้งเดิมที่นิยมกระทำกัน ซึ่งแล้วแต่โอกาสหรือเงื่อนไขบางประการที่ทำให้ต้องกระทำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนแต่ละเผ่าพันธ์ุ สิ่งที่นิยมนำมาบวงสรวงและสังเวยส่วนมากเป็นสัตว์ เช่น วัว แพะ แกะ ไก่ หมู เป็ด นก และปลา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะถูกปรุงแต่งเป็นอาหารอย่างดี แล้วแต่การจินตนาการของแต่ละบุคคลที่จะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้พอใจ มากที่สุด นอกจากนี้อาจจะบวงสรวงและสังเวยด้วยอาหารประเภท ข้าว นม เนย น้ำ ผลไม้ เครื่องประดับ และอาวุธ เป็นต้น ในบางแห่งถ้ามีการทำสงครามกัน ฝ่ายที่แพ้ถูกจับเป็นเชลยอาจจะถูกนำมาสังเวยเทพเจ้าของพวกที่ชนะ การนำมนุษย์มาสังเวยเช่นนี้ มักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งใน ยุคดั้งเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกที่รักมากที่สุด หรือคนหนุ่มคนสาว นิยมถูกเลือกให้เป็นเครื่องสังเวยบนแท่นพิธี ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าอาจจะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พอใจและดลบันดาลให้เกิด ความสำเร็จสมความปรารถนา วิธีการบวงสรวงและสังเวยกระทำได้หลายแบบ ถ้าเป็นพวกของเหลวประเภท น้ำ นม และเหล้า จะใช้วิธีเทลงพื้นดินจนชุ่มและสมมติว่า พลังอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้รับการเซ่นไหว้แล้ว แต่ถ้าเป็นพวกอาหาร เช่น ข้าว ขนม ผลไม้ และเนื้อสัตว์ อาจจะใช้วิธีจัดวางในภาชนะไปตั้งวาง ณ ที่ใดที่หนึ่ง บางครั้งอาจจะใช้เนื้อสัตว์หรือพวกเมล็ดพืชต่างๆ มาเผา และสมมติกันว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นได้สูดเอาควันของอาหารนั้นแทนการกินทางปาก เมื่อบวงสรวงและสังเวยเรียบร้อยแล้ว อาหารที่เหลือจะนำมาแบ่งกันกินในกลุ่มของตน เพื่อแสดงถึงสายใยผูกพันระหว่างสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาตินั้นกับคนบวงสรวง
นอกจากการบวงสรวงและสังเวยแล้ว มีพิธีกรรมที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งปรากฏในหลายแห่งของเมืองไทย เรียกว่า �บัตรพลีกรรม� หรือ �บัตรพลี� คำว่า �บัตร� คือ �ใบ� หมายถึง �ใบไม้� เช่น ใบตองที่นำมาเย็บเป็นกระทงใส่อาหาร �พลี� คือการ �เซ่นไหว้� รวมความแล้วคำว่า �บัตรพลี� ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน1 ได้ให้ความหมายว่า เครื่องเซ่นสรวงสังเวย ในที่นี้ได้จำแนกบัตรพลีออกเป็น 4 อย่าง ตามลักษณะที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย
1. บัตรเทวดา เครื่องเซ่นสรวงนิยมทำด้วยกาบกล้วย เป็นรูปกระโจม มีพื้น 3 ชั้น สำหรับใส่เครื่องเซ่นถวายเทวดา ในประเทศอียิปต์โบราณ ก็มีการถวายเครื่องเซ่นเทวดา ด้วยวัสดุที่มีรูปร่างคล้ายๆ กันนี้ ซึ่งพบได้จากภาพเขียนในสุสานของฟาโรห์บางองค์
2. บัตรพระเกตุ เครื่องเซ่นสรวงทำคล้าย บัตรเทวดาแต่มีพื้น 9 ชั้น (ตามกำลังของ พระเกตุ) สำหรับใส่เครื่องเซ่นสรวง ทำคล้ายบัตรเทวดานวเคราะห์ บัตรเหล่านี้พบมากในพิธีโกนจุกและพิธีฉลองอายุ โดยมีพราหมณ์เป็นผู้ทำพิธีกรรม
3. บัตรสามเหลี่ยมหรือบัตรคางหมู ทำด้วยหยวกกล้วย เป็นรูปถาดสามเหลี่ยมสำหรับใส่เครื่องเซ่นถวายพระยายักษ์
4. บัตรสี่เหลี่ยม ทำด้วยหยวกกล้วยประดิษฐ์เป็นรูปถาดสี่เหลี่ยมสำหรับใส่เครื่อง เซ่นไหว้พระภูมิเจ้าที่
บัตรทั้ง 4 อย่างนี้ ให้เลือกทำอย่างใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยและจุดมุ่งหมายที่กระทำ สำหรับผีอื่นๆ ที่ไม่ใช่เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีฤทธิ์อำนาจสูง อาจทำเพียงแค่การเซ่นไหว้ ตามธรรมดา สำหรับภาชนะใส่อาหารใช้ใบตองที่เจียนให้กลมหรืออาจฉีกใบตองจากต้นโดย ไม่ต้องเจียนเลยก็ได้ แล้วใช้ของกินวางบนนั้น
2.1.8 การมีความเชื่อในพิธีกรรม (Rites of Passage)
การปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาที่จัดวางอย่างเป็นระบบมีขั้นตอน เรียกว่า พิธีกรรม ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มีลักษณะสากลและเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตตั้งแต่ เกิดจนตาย เช่น พิธีการตั้งชื่อ พิธีการล้างบาป พิธีรับศีล พิธีโกนจุก พิธีแต่งงาน พิธีทำศพ และพิธีบวช เป็นต้น
นอกจากนี้อาจจะรวมไปถึงศิลปะแห่งการทำให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัย เช่น การตั้งพิธีกรรมเพื่อการล่าสัตว์ ตัวอย่างที่พบมากในประเทศไทยคือการตั้งพิธีกรรมบวงสรวงเทวดาเพื่อล่าปลาบึก ในแม่น้ำโขง การทำพิธีกรรมอีกอย่างหนึ่งที่พบเป็นประจำทุกปี คือ การทำพิธีแรกนาขวัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกษตรกรรม และพิธีกรรมอีกชนิดหนึ่งที่พบมากในแถบ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในฤดูร้อน คือ พิธีเซิ้งบั้งไฟเพื่อขอฝน
พิธีกรรมเป็นการแสดงออกของจิตสำนึกที่มีความเชื่อและศรัทธาในพลังอำนาจ อันลึกลับที่อยู่เหนือธรรมชาติ ในบางครั้งพิธีกรรมอาจมีจุดมุ่งหมายถึงการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อเรียก ความโชคดีเข้ามาสู่ตน เช่น การรดน้ำมนต์ การลุยไฟ และการปัดรังควาน เป็นต้น
2.1.9 การมีความเชื่อในเรื่องการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (Ancestor Worship)
คุณลักษณะของศาสนาดั้งเดิมในข้อนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องผี และวิญญาณของบรรพบุรุษ เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงระดับหัวหน้าเผ่าพันธุ์และกษัตริย์ เมื่อบรรพบุรุษล่วงลับไปแล้วจึงเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่จะต้องให้ความเคารพ ด้วยการเซ่นไหว้อยู่เสมอ ถ้าลูกหลานคนใดไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องอาจจะถูกลงโทษต่างๆ นานา ดังนั้นการทำศาลปู่ตา การทำซุ้ม การทำปิรามิด ตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ที่เซ่นไหว้ปู่ ย่า ตา ยาย ล้วนมีเหตุมาจากความเชื่อในเรื่องผีและวิญญาณ ก็ทำให้เกิดการสร้างสถานที่เฉพาะ หรือการหาอาหารมาเซ่นไหว้ ทั้งนี้เพื่อให้วิญญาณเหล่านี้มาปกปักรักษาหรือดลบันดาลให้เกิดความสำเร็จใน กิจการต่างๆ การบูชาบรรพบุรุษจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเซ่นไหว้และการทำ พลีกรรม
อนึ่งในการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษนี้อาจไหว้ด้วยเนื้อสัตว์ ข้าว ผลไม้ เหล้า ฯลฯ และใน บางแห่งอาจนำมนุษย์มาฆ่าเพื่อเซ่นไหว้ดวงวิญญาณเหล่านี้ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ไหว้ และขึ้นอยู่กับความเข้มข้นตามแรงปรารถนาของผู้ไหว้
2.2 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์ที่นับถือศาสนาพื้นฐานดั้งเดิม
คุณลักษณะของศาสนาพื้นฐานดั้งเดิมทั้ง 9 ประการ ที่ได้กล่าวมาแล้วนี้จะปรากฏอยู่ในความเชื่อของมนุษย์นับตั้งแต่ยุคก่อน ประวัติศาสตร์แล้วสืบทอดกันต่อๆ มา ซึ่งสามารถศึกษาได้จากความเชื่อของชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ทั่วโลก ในที่นี้จะศึกษาเฉพาะความเชื่อของ ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปแอฟริกา เพราะความเชื่อของชนพื้นเมืองทั่วๆ ไปมีลักษณะคล้ายคลึงกัน และวัฒนธรรมความเชื่อของแต่ละพื้นที่ ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิศาสตร์ ทำให้เกิดความแตกต่างในส่วนย่อย แต่แกนหลักแห่งความเชื่อโดยทั่วๆ ไปยังคงมีลักษณะร่วมกัน ซึ่งเราจะศึกษากันในรายละเอียดต่อไป
2.2.1 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์นีแอนเดอธัล (Neanderthal)
การกำเนิดศาสนาดั้งเดิม เราสามารถสืบย้อนขึ้นไปถึงยุคของมนุษย์นีแอนเดอธัล (Neanderthal) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงระหว่างประมาณ 10,000-25,000 ปี ก่อนคริสตกาล มนุษย์กลุ่มนี้นิยมหาอาหารด้วยการล่าสัตว์และหาผลไม้ตามป่าเขา ในสมัยนี้ยังไม่มีการเขียนบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เราจึงไม่สามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อของพวกเขา นอกจากอาศัยหลักฐานต่างๆ ทางโบราณคดีจากการขุดค้นพบกระดูกสัตว์และ เครื่องมือต่างๆ ทำให้นักโบราณคดีบางคนสันนิษฐานว่า ในสมัยนั้นนิยมฝังอาหารและภาชนะตลอดจนเครื่องมือและอาวุธต่างๆ ไปกับศพ เพื่อให้คนตายนำไปใช้ หรือไม่ก็นำไปถวายแก่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ
นอกจากนี้นักโบราณคดียังพบกระดูกหมีในหลุมศพ มีการจัดวางกระดูกเหล่านั้นอย่างเป็นระเบียบ แสดงถึงการให้ความเคารพอย่างสูง แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าพวกมนุษย์ นีแอนเดอธัลมีความคิดอย่างไรต่อชีวิตหลังความตาย หรือมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับศาสนา แต่มีนักปราชญ์บางท่านได้สันนิษฐานว่า การที่มนุษย์นีแอนเดอธัลพยายามจะฆ่าหมีเนื่องจากมีความเชื่อว่า กะโหลกและกระดูกของหมีมีพลังอำนาจที่จะปกป้องคุ้มครองพวกเขาจากอันตราย จึงนิยมฆ่าหมีกันมากโดยนำซากกะโหลกของหมีไปกองรวมที่เดียวกันในที่พัก
2.2.2 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon)
เป็นมนุษย์อีกพันธุ์หนึ่งที่สืบต่อจากพวกนีแอ นเดอธัล มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 25,000 ปี ก่อนคริสตกาล มนุษย์พันธุ์นี้ตัวใหญ่และสมองใหญ่กว่ามนุษย์นีแอนเดอธัล มักจะอาศัยอยู่ตามถ้ำ และยังคงล่าสัตว์เป็นอาหาร ในสมัยนี้ยังไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้นการศึกษาประวัติความเป็นมาทางด้านศาสนาของคนกลุ่มนี้ ยังคงอาศัยหลักฐานทางโบราณคดี เช่น เครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธต่างๆ ที่ถูกฝังรวมอยู่กับศพของคนตายในสมัยนั้น หลุมศพบางหลุมอาจพบกระดูกที่ทาสี
มนุษย์โครมันยองมีความชำนาญในการวาดรูปมาก ภาพตามฝาผนังถ้ำที่มีชื่อเสียง ส่วนใหญ่จะปรากฏผลงานของมนุษย์เผ่าพันธุ์นี้ ภาพที่วาดมักจะอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำ เนื้อหาของภาพเกี่ยวกับสัตว์ที่กำลังถูกล่า เช่น พวกควายไบซัน ม้า หมี และวัว ภาพทั้งหมดมีลักษณะเหมือนจริง บางภาพเป็นภาพของสัตว์ที่กำลังถูกล่าหรือถูกธนูยิงเข้าไปในกล้ามเนื้อ ซึ่งนักการศาสนาและนักโบราณคดีส่วนมากเชื่อว่าอาจเป็นฝีมือของพวกพ่อมดหมอผี ที่วาดภาพเหล่านี้ขึ้นมาก่อนการล่าสัตว์ เหมือนกับเป็นการตัดไม้ข่มนามเพื่อจะได้ประสบความสำเร็จในการล่าสัตว์ภาพ เขียนมักวาดตามฝาผนังซึ่งอยู่ในที่ลับตาคน
นอกจากภาพเขียนแล้วพวกโครมันยองยังนิยมแกะสลัก หญิงเปลือยเป็นรูปสลักขนาดเล็ก งานแกะสลักที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดี คือ วีนัสแห่งวิลเลนดอร์ฟ (Venus of Willendorf) เป็นงานแกะสลักหญิงเปลือยรูปร่างอวบอ้วน หน้าอก สะโพกและหน้าท้องใหญ่ ไม่มีตา จมูก ปากและหู ทำเป็นรูปศีรษะกลมๆ ท่านผู้รู้ทางศาสนาสันนิษฐานกันว่า จุดประสงค์ของการสร้างงานนี้ขึ้นมาก็เพื่อบูชาให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นมหามาตาเทวีองค์แรกของโลกที่มีการค้นพบอย่างเป็นหลัก เป็นฐาน
2.2.3 ศาสนาและความเชื่อของมนุษย์ยุคหินใหม่
มนุษย์ยุคนี้อยู่ในช่วงระยะเวลาประมาณ 7,000-3,000 ปี ก่อนคริสตกาล มีความก้าวหน้าทางวิทยาการมากขึ้น ศาสนาของมนุษย์ในยุคหินใหม่นี้จะเกี่ยวกับพัฒนาการทางเกษตรกรรม อันเป็นวิถีชีวิตของคนสมัยนี้ ในสมัยนี้มนุษย์รู้จักปลูกพืช ทำนา ทำไร่ และ เลี้ยงสัตว์ ทำให้รู้จักตั้งหลักแหล่งและสร้างบ้าน จึงเกิดความจำเป็นที่จะทำให้พื้นที่เพาะปลูกมีความสมบูรณ์อยู่เสมอ มนุษย์ในสมัยนี้รู้จักสังเกตความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่เป็นไปอย่างสม่ำ เสมอ เช่น การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง การเกิดข้างขึ้นข้างแรมและการเคลื่อนไหวของดวงดาวว่าล้วนมีผลต่อการเพาะปลูก และการเลี้ยงสัตว์ การพัฒนาทางศาสนาของมนุษย์ในยุคนี้ จึงมีพื้นฐานอยู่บนความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเท่าๆ กับความอุดมสมบูรณ์ของมนุษย์และสัตว์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดแนวคิดในเรื่องเทพปกีรณัม ซึ่งมีที่มาจากความเชื่อในพลัง อันลึกลับของธรรมชาติแล้วให้ภาพลักษณ์เป็นเทพต่างๆ แทนพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว และฤดูต่างๆ
จากการขุดค้นพบหลุมศพต่างๆ ของนักโบราณคดีมีข้อน่าสังเกต คือ หลุมศพเหล่านั้นมักจะมีขนาดใหญ่และฝังหลายๆ คนรวมกัน มีการค้นพบกระดูกของผู้ชาย ผู้หญิง สัตว์ รวมทั้งเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนอาวุธและเครื่องประดับ ทำให้สันนิษฐานกันว่าหลุมศพขนาดใหญ่เหล่านี้น่าจะเป็นหลุมของคนในระดับชั้น ผู้นำ ส่วนกระดูกผู้หญิงนั้นน่าจะเป็นกระดูกของภรรยา และพวกคนใช้ตลอดจนสัตว์เลี้ยงต่างๆ ที่เคยเป็นเจ้าของหรือเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรด การฝังสิ่งเหล่านี้รวมกันในที่เดียวกัน มีจุดประสงค์เพื่อจะได้ตามไปรับใช้ในโลกหน้า
นอกจากนี้ในยุคหินใหม่ยังมีกองหินขนาดใหญ่หลาย ก้อนกองรวมกัน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ มักจะพบหลายแห่งทั่วโลก เช่น กองหินที่สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ในประเทศอังกฤษและกองหินที่บริตตานี (Brittany) ในประเทศฝรั่งเศส กองหินเหล่านี้มักจะถูกนำมาจากที่ไกลๆ ซึ่งยากแก่การขนส่ง แสดงว่านำมากองไว้ในบริเวณเหล่านี้ เพื่อการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และอ้อนวอนร้องขอต่อพลังอันศักดิ์สิทธิ์จะได้ประทานในสิ่งที่ตนปรารถนา
2.2.4 ศาสนาและความเชื่อของพวกอเมริกันอินเดียน1
ชาวอเมริกันอินเดียนเป็นพวกพื้นเมืองเดิมที่ อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกา ซึ่งมีหลายเผ่าพันธุ์ ทำให้เกิดความแตกต่างทั้งในด้านการแต่งกายและภาษาพูด ชาวอเมริกันอินเดียนเหล่านี้มีความเชื่อทางด้านศาสนา ที่มีลักษณะร่วมกันดังนี้ คือ
1. ความเชื่อในเรื่องวิญญาณ (Animism)
ชาวอเมริกันอินเดียนโดยทั่วๆ ไป ให้ความเคารพในธรรมชาติและเชื่อว่าธรรมชาติมีพลังอำนาจที่อาจให้คุณหรือโทษ แก่มนุษย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในเคล็ดลับของการใช้พลังอำนาจ ธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าผู้มีอำนาจสร้างขึ้น แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์จะต้องพยายามนำมาใช้ให้เกิดความกลมกลืนแก่ตนเอง ชาวอเมริกันอินเดียนจึงพยายามที่จะมีชีวิตกลมกลืนกับธรรมชาติ เช่น การล่าสัตว์ ก่อนการล่าสัตว์พวกเขาจะต้องสวดมนต์ให้แก่วิญญาณของสัตว์ที่ตนจะล่า และต้องปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ อันเป็นการป้องกันภัยพิบัติ โดยเฉพาะหญิงที่กำลังมีระดู เป็นสิ่งต้องห้ามที่ผู้ล่าจะต้องหลีกหนีให้ห่างไกล ถ้าบังเอิญระดูหยดลงบนเส้นทางที่กำลังจะไปล่าหรือหยดลงบนอาวุธแม้เพียงเล็ก น้อย การล่าสัตว์ในครั้งนั้นจะต้องถูกยกเลิก เพราะถ้ายังคงล่าต่อไป การล่าสัตว์จะล้มเหลวหรืออาจโชคร้าย สำหรับสัตว์ที่ล่ามาได้นั้น ทุกส่วนของร่างกายจะต้องใช้หรือกินให้คุ้มค่า บางเผ่าถึงขนาดเก็บรักษากระดูกไว้เป็นอย่างดีเพื่อเป็นเคล็ดว่าจะได้เกิด ความสำเร็จในการล่าสัตว์ครั้งต่อไป
นอกจากการล่าสัตว์แล้ว การทำกสิกรรม เช่น การปลูกข้าว หรือการเก็บเกี่ยวพืชผลต่างๆ รวมทั้งการขุดดินปั้นหม้อ กิจกรรมเหล่านี้จะต้องมีพิธีกรรม และข้อห้ามแฝงอยู่เช่นเดียวกัน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปเพราะความเชื่อในอำนาจอันทรงพลังของธรรมชาติ ชาวอเมริกันอินเดียนจึงพยายามใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างผู้สำนึกในพระคุณ เหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นมีความรู้สึกนึกคิดและจิตใจเช่นเดียวกับมนุษย์ ถ้าพวกเขาใช้ธรรมชาติอย่างผู้ทำลาย พวกเขาอาจได้รับภัยพิบัติจากธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น เผ่าปาปาโก (Papago) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐอาริโซนา (Arizona) เมื่อทำหม้อหุงต้มจากดินเหนียว จะขุดดินมาใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ทิ้งขว้าง โดยขอยกคำพูดของหญิงเผ่าปาปาโก (Papago) มาเป็นเครื่องยืนยันในเรื่องนี้ีว่า
�ฉันนำมันมาใช้เท่าที่ฉันต้องการ มันถูกนำมาใช้หุงต้มสำหรับพวกลูกๆ ของฉัน�
(I take only what I need. It is to cook for my children.)
และชาวฟอกซ์ซึ่งเป็นชาวอเมริกันอินเดียนอีกเผ่า หนึ่งในทวีปอเมริกาก็มีความเชื่อ เช่นเดียวกับพวกปาปาโก โดยได้ยกคำพูดของพวกฟอกซ์ มาเป็นเครื่องยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีว่า
�เราไม่ชอบการทำลายต้นไม้ เมื่อใดที่เราทำเช่นนั้น เราก็จะเซ่นด้วยยาสูบก่อนที่จะตัด เราไม่เคยทำลายต้นไม้ แต่เราจะใช้มันอย่างคุ้มค่า ถ้าเราไม่คิดถึงความรู้สึกของมัน ต้นไม้ในป่าที่เหลืออยู่จะร้องไห้ และถ้ามันร้องไห้ก็จะทำให้ใจของเราทุกข์ระทมไปด้วย�
(We do not like to harm the trees. Whenever we can, we always make an offering of tobacco to the trees before we cut them down. We never waste the wood, but use all that we cut down. If we do not think of their feelings, all the other trees in the forest would weep, and that would make our hearts sad, too.)
จากคำกล่าวที่ยกมานี้ จะเห็นว่า พวกอเมริกันอินเดียนยกย่องธรรมชาติและเชื่อว่าทุกๆ สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติล้วนมีจิตวิญญาณแฝงอยู่ มนุษย์จึงควรใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด
2.ความเชื่อในเรื่องสิ่งต้องห้าม (Taboos)
ชาวอเมริกันอินเดียนโดยทั่วๆ ไปจะหลีกเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายต่างๆ โดยปฏิบัติตามกฎและข้อห้ามที่ได้วางไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษ กฎข้อห้ามเหล่านี้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ได้แก่ การห้ามติดต่อกับหญิงที่มีระดู เพราะระดูของหญิงเป็นสิ่งที่มีพลังมาก หญิงเหล่านี้จะต้องถูกกันออกไปอยู่ในกระท่อมพิเศษต่างหากจากเผ่าของตน
นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามอื่นๆ เช่น การหลีกหนีศพคนตาย ถ้าคนที่เรารักตายไป วิญญาณของพวกเขาจะวนเวียนอยู่ใกล้และพยายามชักชวนพวกญาติมิตรที่สนิทให้ไป อยู่ด้วย พวกนี้ชอบหลอกหลอนตลอดเวลา จึงอาจทำให้ฝันร้ายได้ ดังนั้น เมื่อมีคนตายจึงต้องรีบฝังหรือเผาทันที เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณกลับมาได้อีกและห้ามเอ่ยชื่อคนตายด้วย พวกสัปเหร่อที่ทำศพ กลายเป็นบุคคลที่ไม่สะอาดสำหรับสังคมของเผ่านั้นๆ สัปเหร่อจึงมีชีวิตที่ถูกแยกออกต่างหากจากเผ่า และถูกห้ามกินอาหารร่วมกับคนอื่นๆ ในเผ่านั้นๆ
3. ความเชื่อในประเพณีและพิธีกรรม
ชาวอเมริกันอินเดียนส่วนมากเชื่อกันว่าการทำ พิธีกรรมต่างๆ นั้น มีส่วนช่วยให้เกิดสัมฤทธิ์ผล พิธีกรรมจึงเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับโลก วิญญาณ (Spirit World) ให้เป็นไปด้วยดี พิธีกรรมที่นิยมทำกันมากที่สุดก็คือ การเต้นรำ การเต้นรำเป็นวิธีหนึ่งที่มนุษย์ใช้ติดต่อกับโลกวิญญาณในวาระต่างๆ เช่น ก่อนการล่าสัตว์ ก่อนเพาะปลูก ก่อนการทำสงคราม และเมื่อมีคนตาย ชาวอเมริกันอินเดียนจะนิยมตีกลอง และสั่นลูก กระพรวนเป็นจังหวะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งมีไม่กี่จังหวะ ดนตรีจึงบรรเลงเพื่อปลุกวิญญาณ หรือพลังที่มีอยู่ในมนุษย์ให้ตื่นขึ้น และพร้อมที่จะใช้พลังนั้นๆ กระทำอะไรบางอย่าง
4. การมีความเชื่อในการสร้างภาพนิมิตและการอดอาหารว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณต่างๆ ได้
ชาวอเมริกันอินเดียนส่วนมากพยายามที่จะสร้าง อำนาจให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการ สร้างภาพนิมิตขึ้นมาเพื่อติดต่อกับวิญญาณต่างๆ พวกเขาจะถูกฝึกตั้งแต่อายุประมาณ 9-10 ปีขึ้นไป โดยถูกปล่อยให้อยู่ในป่าตามลำพังจนกว่าจะสามารถติดต่อกับวิญญาณเหล่านั้นได้ การติดต่อกับวิญญาณอาจกระทำโดยการสร้างภาพนิมิตขึ้นมา แต่ภาพนิมิตไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เด็กๆ ที่ถูกฝึกอาจต้องอดอาหารหลายวัน บางครั้งก็อดน้ำและเปลือยกาย บางครั้งอาจต้องระบายสีบนใบหน้าและร่างกายเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของเผ่า ภาพนิมิตที่ปรากฏขึ้น อาจเป็นภาพสัตว์ ผู้ชาย หรือผู้หญิง ถ้าภาพนิมิตไม่เกิดขึ้นภายใน 2 หรือ 3 วัน แม้ว่าจะอดอาหารและสวดมนต์อ้อนวอนแล้วก็ตาม เด็กนั้นจะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการติดต่อ เช่น การตัดนิ้วของตัวเองเพื่อแสดงความจริงใจต่อพวกวิญญาณ เมื่อภาพนิมิตได้เกิดขึ้นแก่เด็กที่ถูกฝึกแล้ว เขาจึงจะกลับบ้านได้ และเป็นสมาชิกของเผ่าอย่างสมภาคภูมิ การสร้างภาพนิมิตจัดว่าเป็นศักยภาพอันสำคัญยิ่งของชนเผ่าอเมริกันอินเดียน เพราะทำให้พวกเขาสามารถติดต่อกับวิญญาณทำให้ล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต
5. ความเชื่อในผู้นำทางศาสนา
ศาสนาของชนเผ่าอเมริกันอินเดียนเกือบทุกกลุ่มใน ทวีปอเมริกา มีความเชื่อในเรื่องผีหรือวิญญาณที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ โดยเฉพาะพระอาทิตย์ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าต่างๆ เกือบทุกเผ่า จึงนิยมให้มีการเต้นรำถวาย หน้าที่พื้นฐานทางศาสนาเป็นหน้าที่ของทุกๆ คนในเผ่า การสวดมนต์ การเต้นรำ การสร้างภาพนิมิตเป็นหน้าที่ของทุกๆ คนที่ต้องกระทำ มิใช่่หน้าที่เฉพาะของพวกหมอผี (Medicine man)
อย่างไรก็ตาม มีพิธีกรรมบางอย่างซึ่งถูกจำกัดเฉพาะหมอผีเท่านั้นที่จะกระทำได้ เพราะหมอผีเป็นคนพิเศษที่มีอำนาจสูง สามารถติดต่อกับวิญญาณโดยใช้การสร้างภาพนิมิต ทำให้สามารถรักษาโรคและพวกวิญญาณอาจจะบอกข้อห้ามบางอย่างผ่านทางหมอผี นอกจากนี้ คำสาปแช่งของหมอผี อาจนำมาซึ่งภัยพิบัติและความตาย พวกหมอผีจึงได้รับการยกย่องนับถือจากคนในเผ่าไม่น้อยไปกว่าหัวหน้าเผ่า หรืออาจจะมากกว่าหัวหน้าเผ่า
สำหรับการรักษาโรคของหมอผีโดยทั่วๆ ไป มักจะใช้วิธีดูดวิญญาณออกมาจากคนไข้ด้วยการร้องเพลง เต้นรำ ขอพร และท่องคาถาอาคมต่างๆ ซึ่งวิธีการอาจดูคล้ายกับชามานของพวกไซบีเรีย แต่ชามานกับหมอผีมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน คือ หมอผีมีความสามารถติดต่อกับวิญญาณโดยผ่านภาพนิมิต แต่ชามานสามารถเป็นร่างทรงให้กับวิญญาณเพื่อติดต่อกับมนุษย์ คนที่เป็นร่างทรงนี้ ก่อนรับวิญญาณมาเข้าร่างมักมีอาการเจ็บป่วยจนไม่สามารถรักษาได้จนกว่าคนคน นั้นจะยินยอมและสัญญาว่าจะยอมให้ร่างกายของตนเป็นร่างทรงของวิญญาณนั้น หรือยอมให้วิญญาณนั้นใช้ร่างกายของตนเป็นสื่อและเป็นทาสรับใช้วิญญาณนั้นไป จนกว่าจะตายไป
6. ความเชื่อในเรื่องความตายและชีวิตหลังความตาย เนื่องจากชาวอเมริกันอินเดียนมีหลายเผ่าจึงมีวัฒนธรรมหลากหลาย ความเชื่อในเรื่องความตายและการปฏิบัติต่อผู้ตายจึงมีหลายวิธี และมีข้อห้ามเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
ชาวอเมริกันอินเดียนโดยทั่วๆ ไปเชื่อว่ามีวิญญาณ 2 ดวง แต่ไม่ได้เป็นอมตะอย่างที่เข้าใจกันทั่วไป วิญญาณดวงหนึ่งคือลมหายใจและชีวิตซึ่งเกิดดับพร้อมกับร่างกาย วิญญาณดวงที่สองเป็นวิญญาณอิสระ ล่องลอยไปมาในขณะที่เราฝันหรือเจ็บป่วย วิญญาณดวงนี้จะกลับไปสู่ดินแดนแห่งความตายทันทีที่เราตายไป และดินแดนแห่งความตายก็มีลักษณะหลากหลายขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละเผ่า บ้างก็เชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความสุข บ้างก็เชื่อว่าเป็นดินแดน แห่งความทุกข์ เป็นสถานที่น่าเศร้าใจ พวกที่เชื่อในแบบหลังนี้จะพยายามช่วยเหลือคนตายด้วยการฝังอาหารและน้ำหรือ สังเวยสัตว์ เพื่อให้เป็นมัคคุเทศน์ค้นหาทางไปสู่ดินแดนแห่งความตาย เช่น พวกอินเดียนแดงในแถบมิสซิสซิปปี (Mississippi) เมื่อมีผู้นำตาย ภรรยาและลูก รวมทั้งญาติและมิตรสหายที่สนิทกัน ตลอดจนสัตว์เลี้ยงทั้งหมดต้องถูกฆ่าให้ตายตามหัวหน้าเผ่า ความเชื่อแบบนี้คล้ายกับความเชื่อของจีนในยุคต้น ความเชื่อของอินเดีย ความเชื่อของชาวสุเมเรีย และถ้าย้อนไปถึงยุคหินใหม่ก็มีลักษณะความเชื่อแบบนี้เช่นกัน
7. ความเชื่อที่ว่ามีวิธีการที่จะติดต่อกับดวงวิญญาณอันสูงสุด
ชาวอเมริกัน อินเดียนเป็นชนเผ่าที่นิยมการสูบกล้อง แต่การสูบกล้องนี้ไม่ใช่สูบเป็นชีวิตประจำวัน แต่จะสูบกล้องได้เฉพาะในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ยาเส้นจึงเปรียบเสมือนเครื่องกำยาน อันเป็นส่วนสำคัญในการทำพิธีกรรมเกือบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเวลาที่ต้อง หารือกันในเรื่องสงครามและสันติภาพ การสูบกล้องจึงเป็นหัวใจสำคัญของการสนทนา กล้องยาเส้นจะถูกส่งผ่านจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยผลัดเปลี่ยนกันสูบราวกับว่ากล้องยาเส้น เป็นเครื่องรางของขลังอันสำคัญยิ่ง ยาเส้นของชาวอเมริกันอินเดียนจึงเข้มข้นมาก กลิ่นฉุนจัด อาจทำให้เมาได้
ชาวอเมริกันอินเดียนเชื่อว่า กล้องยาสูบเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถติดต่อกับ ดวงวิญญาณอันสูงสุดได้ เช่น พวกซูซ์เชื่อว่ากล้องยาสูบเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นที่รวมของเอกภพและจักรวาล จึงสามารถติดต่อกับวิญญาณที่บริสุทธิ์ได้ พวกเขาเรียกวิญญาณนี้ว่า �วากันทันกา� (Wakan Tanka) ซึ่งเป็นวิญญาณใหญ่ (The Great Spirit) ที่เป็นอิสระไม่มีขอบเขตจำกัด กล้องยาสูบประกอบด้วยส่วนที่เป็นถ้วยสำหรับใส่ยาเส้น ทำจากหินสีแดงซึ่งหมายถึงดิน ส่วนต่อมาก็คือ ส่วนที่แกะลึกเข้าไปในหินต่อจากถ้วยที่ใส่ยาเส้น หมายถึง ลูกควายซึ่งเป็นตัวแทน ของสัตว์ทั้งหลาย พวกซูซ์ให้ความสำคัญแก่ควายมากเพราะเป็นสัตว์ที่มีคุณค่าต่อมนุษย์ เนื้อหนังของมันใช้เป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่มและที่พักอาศัย มนุษย์อยู่ได้ก็เพราะสัตว์เหล่านี้และสัตว์อยู่ได้ก็เพราะดินหรือแม่พระธรณี ซึ่งเปรียบเหมือนมารดาโลก ส่วนด้ามที่ทำด้วยไม้ หมายถึงสรรพสิ่งที่เติบโตมาจากแม่พระธรณี ขนนกซึ่งใช้แขวนที่ตัวกล้องสูบยา เป็นขนนกอินทรีลายจุด
สรรพสัตว์ที่มีอยู่ในจักรวาลจะถูกเชื่อมโยงโดย การสูบกล้องยานี้ และผู้สูบยาก็สามารถติดต่อกับวิญญาณสูงสุด กล้องยาจึงเป็นที่รวมพลังอำนาจของโลก การสูบกล้องยาจึงจัดเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์พยายามติดต่อกับพลัง เหนือโลก ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นวิญญาณอันยิ่งใหญ่ เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งและเป็นสิ่งที่ประทานอำนาจมาให้มนุษย์สามารถมีตา ทิพย์เห็นภาพนิมิตที่บอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
2.2.5ศาสนาและความเชื่อของชาวพื้นเมืองแอฟริกา
ทวีป แอฟริกามีขนาดกว้างใหญ่ มีประชาชนหลายเผ่าพันธุ์ พื้นที่ในทวีปแอฟริกาอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ จึงถูกชาวผิวขาวรุกรานนำมาเป็นเมืองขึ้น ทำให้ทวีปแอฟริกาประกอบไปด้วยชนชาติต่างๆ ที่นับถือศาสนาแตกต่างกัน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. กลุ่มศาสนาที่ไม่ได้มีอยู่แต่เดิม เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนายิว และศาสนาฮินดู
2. กลุ่มศาสนาที่มีอยู่แต่เดิม
ซึ่งจะขอกล่าวถึงเฉพาะกลุ่มศาสนาที่มีอยู่แต่เดิม โดยสรุปลักษณะร่วมทางศาสนา ดังนี้
1. นับถือพระเจ้าสูงสุด (The High God) ชาวพื้นเมืองแอฟริกันมีความเชื่อว่า เทพเจ้าของแต่ละท้องถิ่นนั้นต่างอยู่ในภายใต้อำนาจของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์มีอำนาจสูงสุดสามารถสร้างโลกและสรรพสิ่ง พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวที่อยู่เหนือเทวะทั้งหลาย แต่พระองค์จะติดต่อกับโลกเรานี้น้อยมาก เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลกแล้วก็ทรงปล่อยโลกอย่างอิสระ โดยพระองค์เฝ้าดูอยู่ห่างๆ ความเข้าใจพระเจ้าในลักษณะนี้จะพบได้ในตำนานธรรมของพวกโยรูบา (Yoruba) ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง กลุ่มหนึ่งในแอฟริกา ซึ่งเชื่อว่ามีพระเจ้าอันสูงสุดพระนามว่า �โอโลรัน� (Olorun) พระองค์ได้มอบงานสร้างโลกให้แก่บุตรคนโต แต่เขาไม่สามารถทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้ โอโลรันจึงให้บุตรคนเล็กทำแทนแต่ก็ทำไม่สำเร็จเช่นกัน พระองค์จึงสร้างโลกด้วยพระองค์เอง และสั่งให้พวกเทวะทั้งหลายซึ่งพวกแอฟริกันเรียกว่า �โอริชา� (Orisha) เป็นผู้ช่วย เมื่อโอโลรันได้สร้างโลกสำเร็จสมบูรณ์ดีแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นสวรรค์และติดต่อกับโลกที่พระองค์สร้างน้อยมาก โดยปล่อยให้โอริชาเป็นเทวะประจำหมู่บ้านคอยดูแลทุกข์สุขของพวกโยรูบาตั้งแต่ นั้นมา
2. ความเชื่อในเรื่องของดวงวิญญาณ ชาวพื้นเมืองแอฟริกันเชื่อว่า โลกนี้เต็มไปด้วยวิญญาณต่างๆ ซึ่งแฝงอยู่ในธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ลำธาร พื้นดิน ทะเล ท้องฟ้า และภูเขา ฯลฯ บางหมู่บ้านในแถบแอฟริกาตะวันตกนิยมสร้างวัดถวายหรืออาจให้พระทำพิธีเซ่น ไหว้แม่พระธรณีหรือเซ่นไหว้เทพแห่งพายุ ชาวพื้นเมืองแอฟริกันบางเผ่านิยมทำพิธีกรรมโดยใช้น้ำเพราะเชื่อว่า น้ำเป็นสื่อสำคัญและเป็นสื่ออัน ศักดิ์สิทธิ์ในขั้นพื้นฐานของการทำพิธี ยกตัวอย่างเช่น พิธีอาบน้ำ เด็กแรกเกิด นิยมใช้ �น้ำเป็น� อาบเด็กทารก �น้ำเป็น� หมายถึง น้ำที่ไม่ได้ต้ม การต้มน้ำเป็นการทำลายวิญญาณหรือพลังที่อยู่ในน้ำซึ่งเป็นการขาดความเคารพ ในพิธีกรรมสำคัญอื่นๆ ก็นิยมใช้น้ำหรือของเหลวอื่นๆ ประเภทเบียร์หรือเหล้าไวน์เทลงบนพื้นดินเซ่นไหว้ไปพร้อมกับอาหาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้วิญญาณทั้งหลายเกิดความพอใจ และดลบันดาลสิ่งที่ปรารถนา
3.ความเชื่อในอำนาจของวิญญาณบรรพบุรุษ หรือวิญญาณบรรพชน
ศาสนาของพวกชนพื้นเมืองแอฟริกัน จะแยกวิญญาณบรรพบุรุษออกเป็นคนละส่วนกับวิญญาณที่แฝงอยู่ในพลังธรรมชาติ พวกเขาเชื่อว่าเมื่อบรรพบุรุษตายไปแล้ว วิญญาณที่อยู่ในโลกแห่งวิญญาณจะทำหน้าที่ดูแลลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้นจึงปรากฏบ่อยครั้งที่ชาวแอฟริกันพยายามติดต่อกับวิญญาณเพื่อขอคำ ปรึกษาในด้านการรบ ในด้านการเพาะปลูก และเมื่อเวลามีเด็กเกิดใหม่ ทำให้เกิดข้อห้าม (taboo) ต่างๆ ขึ้นมาในภายหลัง เช่น การห้ามกินผลไม้ หรือพืชผลที่เก็บเกี่ยวครั้งแรก ทั้งนี้เพื่อนำไปเซ่นไหว้เป็นการตอบแทนพระคุณท่านที่คอยขจัดปัญหาให้แก่พวก เขา
ความเชื่อในเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษของชาวพื้น เมืองแอฟริกันแตกต่างจากชาวจีน กล่าวคือ ชาวจีนให้ความเคารพวิญญาณบรรพบุรุษของตนเพื่อแสดงความกตัญญูและขอร้องให้พวก ตนอยู่เย็นเป็นสุข ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่สำหรับชาวพื้นเมืองแอฟริกันนั้นความเชื่อในเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษมีความ สัมพันธ์กับความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์ พวกเขาเชื่อว่าการที่ภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วม แผ่นดินไหว และโรคระบาด เกิดจากการบันดาลของวิญญาณบรรพบุรุษ คำสาปแช่งของท่านเหล่านั้นอาจนำภัยพิบัติมาสู่พวกเขาได้ การให้ความเคารพในวิญญาณบรรพบุรุษ จึงเป็นจิตสำนึกอันสำคัญยิ่งของพวกเขาที่ลูกหลานทุกคนต้องเซ่นไหว้ ด้วยผลผลิตจากแรงงานของพวกเขา และเพื่อเป็นหลักประกันในความจงรักภักดี ชาวแอฟริกันจึงนิิยม ฆ่าสัตว์เซ่นด้วยเลือดทุกครั้งที่มีสัตว์เกิดใหม่ครั้งแรกในฝูงนั้น
วิญญาณของบรรพบุรุษจะติดต่อกับลูกหลานทั้งหลาย ด้วยการฝัน ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างง่าย ไม่ต้องมีการตีความใดๆ แต่ในบางครั้งวิญญาณของบรรพบุรุษไม่สามารถติดต่อกับลูกหลาน ด้วยการฝัน อาจเป็นเพราะบางเรื่องยากเกินกว่าที่จะเข้าใจ จึงจำเป็นจะต้องอาศัยพวกนักทำนาย (Diviner) มาช่วยตีความ คนที่จะสามารถทำนายทายทักเหตุการณ์ต่างๆ ได้จะต้องเป็นผู้ที่สามารถติดต่อกับวิญญาณของผู้ตายได้ และสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นในการทำสงครามแต่ละครั้ง นักทำนายจะถูกเชิญมาเป็นที่ปรึกษาในการทำสงครามเสมอ
4. การเซ่นไหว้
เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่จะช่วยเชื่อมโยง สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับเทวดา และดวงวิญญาณของเหล่าบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงมักปรากฏว่า ชาวพื้นเมืองแอฟริกันบางคนนิยม เซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เป็นประจำทุกวัน โดยแบ่งน้ำหรืออาหารเล็กน้อยเพื่อเซ่นไหว้ แต่ถ้าในโอกาสที่สำคัญ เช่น เมื่อจะออกรบหรือเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะนิยมฆ่าสัตว์แล้วเซ่นด้วยเลือด เช่น นก แกะ แพะ สุนัข วัวและควาย เป็นต้น ชาวพื้นเมืองแอฟริกันจะเริ่มต้นด้วยการเชือดสัตว์แล้วปล่อยให้โลหิตไหลรดลง บนพื้นดิน เมื่อเลือดไหลออกจากร่างจนหมดแล้ว จึงจะนำสัตว์นั้นไปต้มหรือย่าง แล้วแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือส่วนหนึ่งถวายทวยเทพและวิญญาณบรรพบุรุษ ส่วนที่สองมอบให้กับคนทำพิธีกรรม ส่วนที่สามนำมากินกันในครอบครัว การทำเช่นนี้เชื่อกันว่า เป็นการแสดงความสัมพันธ์ต่อกันเหมือนกับเป็นชีวิตเดียวกัน สำหรับการเซ่นไหว้ด้วยมนุษย์นั้นไม่ใคร่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก นอกจากจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นแก่หมู่บ้านเท่านั้น และถ้าผู้ทำนายได้ทำนายว่าจะต้องใช้ชีวิตมนุษย์เป็น เครื่องสังเวย จึงจะมีการฆ่ามนุษย์เกิดขึ้น หรือถ้าผู้นำของเผ่าตายไป ความจำเป็นที่จะต้องฆ่าคนเพื่อตามไปรับใช้ในโลกหน้าก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อฆ่าแล้วพวกเขาจะไม่นิยมกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน เหตุการณ์เช่นนี้จึงเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก
5. การทำพิธีกรรม
ชาวพื้นเมืองแอฟริกันมีพิธีกรรมหลายอย่าง ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยเฉพาะการเกิด ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเด็กที่เกิดมาล้วนแต่เป็นผลมาจากการอวยพรของพวกโลกแห่งวิญญาณ ส่วนบุคคลที่เป็นหมันไม่สามารถมีบุตรได้ ชาวพื้นเมืองแอฟริกันเชื่อว่าเป็นเพราะคนเหล่านั้นถูกวิญญาณสาปแช่ง ชาวแอฟริกันบางเผ่ารังเกียจการมีบุตรแฝดเพราะเชื่อกันว่าการคลอดบุตรแฝดเป็น ผลมาจากการที่แม่เป็นชู้มีสามีหลายคน พวกเด็กแฝดจึงมักถูกฆ่าหรือถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน
สังคมของชาวพื้นเมืองแอฟริกันส่วนมากอย่างเช่น ชาวอชันติ (Ashanti) ไม่นิยมตั้งชื่อให้กับเด็กแรกเกิด ต้องรอเวลาให้ผ่านพ้นไปประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะตั้งชื่อ เพราะเชื่อกันว่าการที่จะไปตั้งชื่อให้แก่เด็กที่เกิดใหม่นั้น อาจทำให้ผิดหวังได้ เนื่องจากอัตราการตายของเด็กแรกเกิดในแอฟริกาสูงมาก การที่ไปตั้งชื่ออาจทำให้ได้รับความทุกข์เมื่อเด็กตาย และการตั้งชื่อเด็กนั้นส่วนมากได้ชื่อมาจากบรรพบุรุษ
พิธีกรรมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การอุ้มเด็กแรกเกิดออกไปอาบแสงจันทร์หรือโยนเด็กขึ้นไปในอากาศอย่างเบาๆ แล้วก็รับ ทำอย่างนี้หลายครั้งเพื่อให้เด็กแรกเกิดเคยชินกับการมองแสงจันทร์ พิธีกรรมแบบนี้กระทำเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ในบางกลุ่มอาจรอจนกระทั่งอายุย่างเข้าสู่วัยรุ่น
เด็กหนุ่มสาวของชาวพื้นเมืองแอฟริกันจะได้รับ หน้าที่สำคัญๆ ในสังคม โดยแยกออกเป็นกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิง วัยรุ่นชายจะได้รับหน้าที่เรียนรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนาและถูกทดสอบให้ มีความกล้าหาญอดทน ส่วนเด็กผู้หญิงจะเรียนรู้ในเรื่องเพศศึกษาโดยได้รับการฝึกอย่างพิเศษ นอกจากนี้ชาวแอฟริกันหลายเผ่าอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน ทั้งนี้เพราะพวกเขามีข้อห้ามไม่ให้สามีมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาในขณะตั้งครรภ์ และอาจรวมไปถึงช่วงเวลาที่เลี้ยงลูกน้อย ดังนั้นสามีหลายคนจึงงดการมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาประมาณ 2 ปี สามีจึงต้องมีภรรยาหลายคน โดยแยกบ้านอยู่ต่างหาก สำหรับพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายนั้นมีหลายพิธีด้วยกัน ทั้งนี้เพราะพวกเขาพยายามหาวิธีที่จะทำให้วิญญาณของผู้ตายเกิดความสบายใจที่ จะอยู่ในโลกใหม่และไม่คิดที่จะกลับมารบกวนหลอกหลอนญาติพี่น้อง พิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายจึงมีหลายขั้นตอนเพื่อป้องกันการกลับมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงใดที่สามีตาย หญิงนั้นจะกลัวมากเพราะเกรงว่าสามีที่ตายไปแล้วกลับมาหา และทำให้เธอเป็นหมันไม่สามารถมีลูกต่อไปได้ ชาวแอฟริกันนิยมการฝังศพทันที โดยเฉพาะกษัตริย์เมื่อสวรรคต จะรีบฝังพระศพพร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทองและข้าทาสบริวาร
6. ความเชื่อในผู้นำทางศาสนา
พิธีกรรมหลายอย่างในแอฟริกาอาจไม่จำเป็นต้อง พึ่งพระ เช่น การกรวดน้ำให้กับผู้ตาย การสวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากดวงวิญญาณ พิธีกรรมที่พระจะทำพิธีนั้น ต้องเป็นพิธีกรรมที่กระทำในโอกาสพิเศษ ผู้ที่จะเป็นพระได้นั้นต้องผ่านการฝึกฝนในการทำพิธีกรรม ต้องเรียนรู้รหัสพิเศษในลัทธิศาสนาของตน ต้องเรียนรู้เรื่องการเต้นรำเพื่อพิธีกรรมบางอย่าง และต้องเรียนรู้กฎข้อห้ามทางศาสนา
สำหรับหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา ในแอฟริกา โดยทั่วไปนิยมให้พวกพ่อมด (Witch doctor) เป็นผู้ทำพิธีกรรม โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่มีคนเจ็บป่วยพวกพ่อมดใช้เวทมนตร์และสมุนไพรรักษาคนไข้ นอกจากนี้ถ้ามีการย้ายบ้าน พ่อมดอาจจะถูกเชิญให้มาทำพิธีขับไล่ความชั่วร้าย ก่อนที่เจ้าของบ้านจะย้ายเข้าไปอยู่อาศัย พ่อมดมักจะมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับ ความเจ็บไข้ของคนในเผ่าหรือมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้เวทย์มนตร์คาถา อาคม
เนื่องจากชนเผ่าแอฟริกันบางพวกยังคงปกครองแบบก ษัตริย์ ทำให้เกิดผู้นำทางศาสนาอีกประเภทหนึ่ง คือ กษัตริย์ พระองค์เป็นผู้อยู่เหนือกฎหมาย จึงได้รับการยอมรับในฐานะเป็นผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความสัมพันธ์กับโลกของวิญญาณบรรพชน เมื่อกษัตริย์และราชินีได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการแล้ว จะถูกเปลี่ยนสถานภาพโดยได้รับการยกย่องว่าเป็นเทวดา และสามารถที่จะเข้าไปในดินแดนของวิญญาณแห่งบรรพชน พระมหากษัตริย์เป็นบ่อเกิดของข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามมองพระพักตร์ ห้ามแตะหรือจับสิ่งของของกษัตริย์ ห้ามยุ่งกับนางสนมและนางกำนัล ผู้ที่เป็นกษัตริย์จะต้องได้รับการดูแลอย่างดี เพื่อให้มีพระพลานามัยดี เพราะการประชวรของพระมหากษัตริย์เท่ากับความป่วยไข้ของประเทศชาติ เมื่อใดก็ตามที่กษัตริย์สวรรคต ข่าวการสวรรคตจะถูกปิดเป็นความลับจนกว่าจะมีการเลือกกษัตริย์องค์ใหม่และ ประกาศเป็นทางการ ในปัจจุบันนี้ศาสนาดั้งเดิมของชาวแอฟริกันได้ถูกกดดันจากศาสนาอื่นๆ เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม รวมทั้งแรงกดดันที่มาจากสังคมแบบอุตสาหกรรมทำให้้ประชาชน แอฟริกันห่างเหินจากศาสนาดั้งเดิมซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ของชาติ อย่างไรก็ตามยังคงมีชาวแอฟริกันบางกลุ่มพอใจที่จะมีวิถีชีวิตและความเชื่อ ตามแนวทางที่บรรพบุรุษของตนได้เคยปฏิบัติมา
free programes
Posted by
sereykh
at
20:04
0
comments
Labels: ប្រវត្តិសាសនាក្នុងលោក ជាភាសាសៀម
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา
เนื้อหาบทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา
1.1 ความหมายของศาสนา
1.1.1 ความหมายตามรูปศัพท์เดิม
1.1.2 ความหมายตามรูปศัพท์ในภาษาอังกฤษ
1.1.3 ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542
1.1.4 ในทรรศนะของพระยาอนุมานราชธน
1.1.5 ในทรรศนะของหลวงวิจิตรวาทการ
1.1.6 ในทรรศนะของ Emile Durkheim
1.1.7 ในทรรศนะของ A.C. Bouget
1.2 ลักษณะของศาสนา
1.3 องค์ประกอบของศาสนา
1.4 วิวัฒนาการของศาสนา
1.5 มูลเหตุการเกิดของศาสนา
1.6 ประเภทของศาสนา
1.7 ความสำคัญของศาสนา
1.8 คุณค่าทางศาสนา
1.9 ประโยชน์ของศาสนา
แนวคิด
1. มีการให้นิยามความหมายของศาสนาจากทรรศนะต่างๆ สรุปได้ว่า �ศาสนา� คือ คำสอนที่ศาสดานำมาเผยแผ่สั่งสอน แจกแจง แสดงให้มนุษย์ละเว้นจากความชั่ว กระทำแต่ความดี เพื่อประสบสันติสุขในชีวิตทั้งในระดับธรรมดาสามัญและความสุขสงบนิรันดร ซึ่งมนุษย์ยึดถือปฏิบัติตามคำสอนนั้นด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรัทธา และจะต้องมีพีธีกรรม มีสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมายทางศาสนา และคำสอนในศาสนามีทั้งระดับโลกิยะและระดับโลกุตระ
2. มูลเหตุที่ทำให้เกิดศาสนานั้น เกิดจากอวิชชา ความกลัว ความภักดี ความต้องการความรู้แจ้งความจริงของชีวิตและความต้องการความสงบสุขของสังคม และด้วยความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และความเชื่อ จึงทำให้เกิดศาสนาหลายรูปแบบ
3. เมื่อมนุษย์ได้นำหลักศาสนาไปประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิตของตนอย่างสม่ำเสมอ แล้วย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ต่อบุคคลผู้นั้น และยังช่วยให้สังคมเกิดความสงบสุขอีกด้วย
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ลักษณะ และองค์ประกอบของศาสนาได้อย่างถูกต้อง
2. เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจถึงวิวัฒนาการในยุคต่างๆ ของศาสนา และมูลเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดศาสนา รวมทั้งการจัดแบ่งประเภทของศาสนาได้อย่างถูกต้อง
3. เพื่อให้นักศึกษาได้เข้าใจถึงความสำคัญ คุณค่า และประโยชน์ของศาสนาที่มีต่อมวลมนุษยชาติได้อย่างถูกต้อง
เกริ่นนำและ บทที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา
อาจจะกล่าวได้ว่า ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ไม่มียุคสมัยใดและไม่มีเผ่าใดเลย ที่ไม่นับถือศาสนา ซึ่งในสังคมปัจจุบันนี้มีประเทศต่างๆ ในโลกมากกว่า 190 ประเทศ และมีประชากรมากกว่า 6,000 ล้านคน ต่างก็นับถือศาสนาด้วยกันแทบทั้งสิ้น ศาสนาจึงมีอิทธิพลและแพร่หลายไปทั่วในสังคมมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยตั้งแต่สังคม ปฐมภูมิเก่าแก่ที่สุดจนถึงยุคปัจจุบัน ศาสนาจึงเป็นคำที่มนุษย์คุ้นเคยได้ยินมานานและมีความหมายมากที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด อีกทั้งมีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของมนุษย์มากที่สุดด้วย ดังนั้น จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งที่เราควรจะต้องศึกษาให้เข้าใจถึงภูมิหลัง ของศาสนาต่างๆ ที่มีมนุษย์นับถือกันอยู่ทั่วโลก
1.1 ความหมายของศาสนา
คำว่า �ศาสนา� นักปราชญ์ได้นิยามความหมายของศาสนาไว้แตกต่างกันอยู่มาก จึงขอนำเสนอความหมายที่ควรทราบ ดังนี้
1.1.1 ความหมายตามรูปศัพท์เดิม1 ในภาษาสันสกฤต คือ ศาสนํ และตรงกับในภาษาบาลีว่า สาสนํ แปลว่า คำสั่งสอน คำสอน หรือการปกครอง ซึ่งมีความหมายเป็นลำดับ ได้แก่
1) คำสั่งสอน แยกได้เป็น คำสั่ง หมายถึง ข้อห้ามทำความชั่ว เรียกว่า ศีล หรือ วินัย คำสอน หมายถึง คำแนะนำให้ทำความดี ที่เรียกว่า ธรรม เมื่อรวมคำสั่งและคำสอน จึงหมายถึง ศีลธรรม หรือศีลกับธรรม นั่นคือมีทั้งข้อห้ามทำความชั่ว และแนะนำให้ทำความดี ซึ่งคำสั่งสอน ต้องมีองค์ประกอบ คือ
1. กล่าวถึงความเชื่อในอำนาจของสิ่งที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตา เช่น
ก. ศาสนาอิสลามและศาสนาคริสต์ เชื่อในอำนาจแห่งพระเจ้า
ข. ศาสนาพุทธ เชื่ออำนาจแห่งกรรม
ค. ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่ออำนาจแห่งเทพเจ้า
2. มีหลักศีลธรรม เช่น สอนให้ละความชั่ว สร้างความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เป็นต้น
3. มีจุดหมายสูงสุดในชีวิต เช่น นิพพานในศาสนาพุทธ ชีวิตนิรันดรในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม
4. มีพิธีกรรม เช่น
ก. พิธีบรรพชาและพิธีอุปสมบท ในศาสนาพุทธ
ข. พิธีรับศีลล้างบาป ศีลมหาสนิทและศีลพลัง ในศาสนาคริสต์
ค. พิธีละหมาด พิธีเคารพพระเจ้า ในศาสนาอิสลาม
5. มีความเข้มงวดกวดขันในเรื่องความจงรักภักดี
2) การปกครอง หมายถึง การปกครองจิตใจของตนเอง ควบคุมดูแลตนเอง กล่าวตักเตือนตนเองอยู่เสมอ และรับผิดชอบการกระทำทุกอย่างของตน บุคคลผู้สามารถปกครองจิตใจของตนได้ ย่อมจะไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
1.1.2 ความหมายตามรูปศัพท์ในภาษาอังกฤษ1 คือ Religion มาจากภาษาละตินว่า Religare มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า To bind fast (ยึดถือ/ผูกพันอย่างแน่นแฟ้น) กล่าวคือ ผูกพันอย่างเหนียวแน่นต่อพระผู้เป็นเจ้า(God) หรือพระผู้สร้าง(Creator) และอีกศัพท์หนึ่งว่า Relegere แปลว่า การปฏิบัติต่อ หรือการเกี่ยวข้องด้วยความระมัดระวัง เป็นการปฏิบัติตนเพื่อแสดงความเลื่อมใสหรือเกรงกลัวอำนาจเหนือตน ซึ่งในความหมายของ ชาวตะวันตก2 ตลอดทั้งผู้นับถือศาสนาประเภทเทวนิยม จะเข้าใจศาสนาในลักษณะที่ว่า
1. มีความเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
2. มีความเชื่อว่า หลักคำสั่งสอนต่างๆ มาจากพระเจ้า ทั้งศีลธรรมจรรยาและกฎหมายในสังคมเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดขึ้น
3. มีหลักความเชื่อบางอย่างเป็นอจินไตย คือ เชื่อไปตามคำสอนโดยไม่คำนึงถึง ข้อพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่อาศัยเทวานุภาพของเทพเจ้า ผู้อยู่เหนือตนเป็นเกณฑ์
4. มีหลักการมอบตน คือมอบการกระทำของตนและอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับตนให้พระเจ้าด้วยความจงรักภักดี
ส่วนคำว่า �ศาสนา� ตามความหมายของชาวตะวันออก1 โดยเฉพาะทางศาสนาพุทธ หมายถึง คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ คำสั่ง คือ วินัย คำสอน คือ ธรรมะ รวมเรียกว่า ธรรมวินัย ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับคำว่า �Religion� ของทางสังคมตะวันตก คือ
1. ไม่มีหลักความเชื่อว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แต่มีหลักความเชื่อว่า กรรมเป็น ผู้สร้างโลกและสร้างสรรพสิ่ง (กมฺมุนา วตฺตตี โลโก - สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม)
2. ไม่มีหลักความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ มาจากพระเจ้า แต่มีหลักความเชื่อว่า คำสอนต่างๆ ผู้รู้ คือ พุทธ เป็นผู้สั่งสอน (สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺต ปริโย-ทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ - การไม่ทำชั่วทั้งปวง การทำความดีให้ถึงพร้อม การทำใจให้ผ่องแผ้ว นี่คือคำสอน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
3. ไม่มีหลักความเชื่อไปตามคำสอน โดยไม่คำนึงถึงข้อพิสูจน์ แต่มีหลักให้พิสูจน์คำสอนนั้น (สนฺทิฏฺ�ิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ - อันผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตัวเอง ไม่จำกัดด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน)
4. ไม่มีหลักการยอมมอบตนให้แก่พระเจ้า แต่มีหลักการมอบตนให้แก่ตนเอง (อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ - ตนแล เป็นที่พึ่งของตน)
ตามที่ได้กล่าวมานี้ พอแสดงให้เห็นได้ว่า ศาสนา ตามความหมายของทางตะวันออก โดยเฉพาะทางศาสนาพุทธ กับคำว่า Religion ตามความหมายของทางตะวันตก ย่อมมีลักษณะแตกต่างกันไปตามธรรมชาติของศาสนาในแต่ละประเภท ศาสนาตามความหมายของทางตะวันออก โดยเฉพาะทางศาสนาพุทธนั้น มีจุดยืนตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผล รวมทั้งเป็นเรื่องของมนุษย์กับธรรมชาติโดยตรง ส่วนศาสนาของทางตะวันตก มีจุดยืนอยู่ที่ศรัทธาหรือความเชื่อในสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ ซึ่งเหตุผลต่างๆ ย่อมถูกนำมาสนับสนุนความเชื่อต่างๆ โดยไม่ต้องมีการพิสูจน์
1.1.3 ความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 25422 ศาสนา คือ ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์ อันมีหลักคือ แสดงกำเนิดและความสิ้นสุดของโลก เป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิที่จะกระทำตามความเห็นหรือตามคำสั่งสอน ในความเชื่อถือนั้นๆ
1.1.4 ในทรรศนะของพระยาอนุมานราชธน1 ให้ความหมายว่า ศาสนา คือ ความเชื่อซึ่งแสดงออกมาให้ปรากฏเห็นเป็นกิริยาอาการของผู้เลื่อมใส ว่ามีความเคารพเกรงกลัว ซึ่งอำนาจอันอยู่เหนือโลกหรือพระเจ้า ซึ่งบอกให้ผู้เชื่อรู้ได้ด้วยปัญญา ความรู้สึกเกิดขึ้นเองโดยสัญชาตญาณ ว่าต้องมีอยู่เป็นรูปร่างอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเป็นผู้สร้าง และเป็นผู้กำหนดวิถีชีวิตของมนุษย์ให้มีอยู่ เป็นอยู่ กล่าวกันง่ายๆ ศาสนา คือ การบูชาพระเจ้า ผู้ซึ่งมีทิพยอำนาจ อยู่เหนือธรรมชาติด้วยความเคารพกลัวเกรง
1.1.5 ในทรรศนะของหลวงวิจิตรวาทการ2 ให้ความหมายว่า ศาสนาเป็นเรื่องที่ถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีคำสอนทางจรรยา มีศาสดา มีคณะบุคคลที่รักษาความศักดิ์สิทธิ์และคำสอนไว้ เช่น พระหรือนักบวช และมีการกวดขันเรื่องความจงรักภักดี
1.1.6 ในทรรศนะของ Emile Durkheim3 ให้ความหมายว่า ศาสนา คือ ระบบรวม ว่าด้วยความเชื่อและการปฏิบัติเพื่อความสัมพันธ์ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
1.1.7 ในทรรศนะของ A.C Bouget4 ให้ความหมายว่า ศาสนา หมายถึง ความสัมพันธ์ อันแนบแน่นระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่มิใช่มนุษย์ คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ สิ่งที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเองหรือพระเจ้า แต่สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการมากกว่าเกี่ยวข้องกับบุคคล ศาสนา คือ หนทางอย่างหนึ่งซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจุดมุ่งหมาย จุดประสงค์ความเชื่อของเขา
จากทรรศนะต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดในตอนต้นนั้น สามารถสรุปให้ครอบคลุมความหมายของศาสนาทั้งที่เป็นเทวนิยมและอเทวนิยมได้ว่า ศาสนา คือ คำสอนที่ศาสดานำมา เผยแผ่ สั่งสอน แจกแจง แสดงให้มนุษย์ละเว้นจากความชั่ว กระทำแต่ความดี เพื่อประสบสันติสุขในชีวิต ทั้งในระดับธรรมดาสามัญและความสุขสงบนิรันดร ซึ่งมนุษย์ยึดถือปฏิบัติตามคำสอนนั้นด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรัทธา คำสอนดังกล่าวนี้ จะมีลักษณะเป็นสัจธรรมที่มีอยู่ในธรรมชาติแล้วศาสดาเป็นผู้ค้นพบ หรือจะเป็นโองการที่ศาสดารับมาจากพระเจ้าก็ได้
1.2 ลักษณะของศาสนา
จากความหมายของศาสนาที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น สรุปลักษณะของศาสนาได้ดังนี้
1. ศาสนาเป็นศูนย์รวมของความเคารพนับถือสูงสุดของมนุษย์
2. ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งทางใจ
3. ศาสดาเป็นผู้นำศาสนามาเผยแผ่ สั่งสอนแก่มวลมนุษย์
4. ศาสนามีสาระสำคัญอยู่ที่การสอนให้มนุษย์ละเว้นจากความชั่วกระทำแต่ความดี
5. คำสอนในศาสนามีทั้งระดับโลกิยะและระดับโลกุตระ
6. มนุษย์ต้องปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรัทธา
7. ศาสนาต้องมีพิธีกรรมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ และมีสัญลักษณ์อันเป็นเครื่องหมาย
1.3 องค์ประกอบของศาสนา
ศาสนาที่จะเป็นศาสนาอย่างสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ทาง วิชาการที่นักการศาสนาจัดไว้ โดยจะต้องมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. ศาสดา ต้องมีศาสดาเป็นผู้ก่อตั้งศาสนา และศาสดาต้องมีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เช่น ศาสนายิวมีโมเสสเป็นศาสดา ศาสนาพุทธมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ศาสนาคริสต์มีพระเยซูเป็นศาสดา และศาสนาอิสลามมีนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดา
2. ศาสนธรรม ต้องมีศาสนธรรม คือ คำสอนซึ่งเป็นหลักของศาสนา ต้องมีคัมภีร์เป็นที่รวบรวมคำสอน เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้แก่ คัมภีร์พระเวท ศาสนาพุทธ ได้แก่ พระไตรปิฎก ศาสนาอิสลาม ได้แก่ คัมภีร์อัลกุรอาน
3. ศาสนพิธี ต้องมีพิธีกรรมที่เกี่ยว เนื่องมาจากคำสอนของศาสนา เช่น พิธีสวมสายยัชโญปวีต หรือสายธุรำของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พิธีอุปสมบทของศาสนาพุทธ พิธีล้างบาปของศาสนายิว และศาสนาคริสต์ และพิธีฮัจญ์ของศาสนาอิสลาม
4. ปูชนียวัตถุ หรือ ปูชนียสถานทางศาสนา เช่น พระพุทธรูปและสังเวชนียสถานในศาสนาพุทธ ไม้กางเขนและวิหารเมืองเยรูซาเลมในศาสนาคริสต์ รูปของพระคุรุและเมืองอมฤตสระของศาสนาซิกข์
5. ศาสนบุคคล ต้องมีคณะบุคคลสืบทอดคำสอนของศาสนา ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามหลัก คำสอนของศาสนาโดยตรง เช่น พระ นักบวช นักพรต ในศาสนาต่างๆ
6. ศาสนสถาน ต้องมีศาสนสถานเพื่อประกอบศาสนกิจและศาสนพิธีต่างๆ ศาสน-สถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้แก่ เทวสถาน หรือเทวาลัย ของศาสนาพุทธ ได้แก่ วัด อุโบสถ ศาลาการเปรียญ วิหาร ของศาสนาคริสต์ ได้แก่ โบสถ์ วิหาร ของศาสนาอิสลาม ได้แก่ สุเหร่า หรือมัสยิด เป็นต้น
7. ศาสนิกชน ต้อง มีศาสนิกชนผู้นับถือเลื่อมใสศรัทธาในศาสนานั้น ซึ่งศาสนิกชนดังกล่าว เหล่านี้ มักเรียกตามชื่อของศาสนาที่ตนนับถือ เช่น ฮินดูชน พุทธศาสนิกชน คริสตศาสนิกชน อิสลามมิกชนหรือมุสลิม เป็นต้น
8. การกวดขันเรื่องความภักดี ต้องมีการ กวดขันเรื่องความภักดีในศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูกวดขันเรื่องการดำเนินชีวิตตามหลักอาศรม 4 ศาสนาพุทธกวดขันเรื่อง ไตรสรณคมน์ ศาสนาคริสต์กวดขันเรื่องการไปสวดมนต์ที่โบสถ์ในวันอาทิตย์ ศาสนาอิสลามกวดขันเรื่องหลักปฏิบัติหรือหน้าที่ในศาสนา
องค์ประกอบทั้ง 8 ประการนี้ ในบางศาสนาอาจขาดข้อใดข้อหนึ่งไป แต่ก็ยังถือว่าเป็นศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ขาดองค์ประกอบข้อที่หนึ่ง คือ ศาสดาไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ศาสนาอิสลามขาดองค์ประกอบข้อ 5 คือ ศาสนบุคคล เพราะผู้นับถือศาสนา อิสลามไม่มีการถือเพศเป็นบรรพชิต คงมีแต่เพศฆราวาสเท่านั้น
1.4 วิวัฒนาการของศาสนา
ไม่ว่ายุคสมัยใด มนุษย์ต่างก็ต้องการให้ชีวิตมีความสุข ความปลอดภัยและมีชีวิตยืนยาว จะทำอะไรทุกอย่างก็เพื่อจุดหมายดังกล่าว อันเป็นที่มาของการนับถือศาสนา โดยมีวิวัฒนาการ ดังนี้
วิญญาณนิยม
มนุษย์สมัยปฐมบรรพ์ ยังมีประสบการณ์ชีวิตน้อย ยังไม่เจริญด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงคิดและเชื่อไปตามความรู้ของตน เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ เช่น ก้อนหินที่มีลักษณะแปลกๆ หรือมีสีสันพิเศษแตกต่างกว่าปกติ ก็จะคิดว่ามีสิ่งลี้ลับอยู่ภายใน จึงทำให้สิ่งนั้นๆ แปลกประหลาดไป สิ่งลี้ลับนี้เรียกว่า มนะ หรืออำนาจที่ไม่มีตัวตน แต่มีชีวิตจิตใจ มีพลังวิเศษ ที่จะบันดาลให้คุณหรือโทษแก่มนุษย์ได้ จึงเกิดการเคารพนับถือมนะขึ้นมา ระยะนี้เรียกว่า สมัยมนะ ต่อมาจึงเกิดหมอผี (Shaman) ซึ่งเป็นบุคคลที่จะอัญเชิญพลังวิเศษของมนะออกมาใช้ตามจุดประสงค์ต่างๆ ยุคที่หมอผีมีความสำคัญนี้เรียกว่า สมัยมายา ต่อมามนุษย์ได้พยายาม ทำความเข้าใจในเรื่องมนะให้มากขึ้น ก็เกิดความเข้าใจว่า มนะก็คือวิญญาณนั่นเอง ซึ่งวิญญาณนี้สิงสถิตอยู่ในที่ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในสิ่งแปลกประหลาดเท่านั้น อาจสิงอยู่ในตัวสัตว์ ในต้นไม้ ภูเขา และทะเล ก็ได้ จึงเกิดการนับถือสัตว์ที่ตนคิดว่าน่าจะมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ เช่น นับถือจระเข้ เต่า แมว สิงโต เป็นต้น ทั้งยังนำสัตว์หรือสิ่งที่ตนเคารพมาเป็นที่เคารพของเผ่าจนกลายเป็นสัญลักษณ์ ประจำเผ่าต่างๆ ชาวพื้นเมืองบางเผ่าของประเทศนิวซีแลนด์ ได้แกะสลักรูปคนนั่งซ้อนกันหรือที่เรียกว่า รูปเคารพติกิ การนำสัตว์หรือรูปแกะสลักมาเป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่า เรียกว่า รูปเคารพประจำเผ่า (Totemism)
ธรรมชาติเทวนิยม
ต่อมามนุษย์ได้พยายามทำความเข้าใจในเรื่องวิญญาณให้ชัดเจนขึ้นไปอีก ก็ได้มีความเข้าใจ ว่าวิญญาณมีความศักดิ์สิทธิ์วิเศษเกินกว่าวิสัยของมนุษย์ จึงเรียกวิญญาณว่า เทวดา หรือเทพเจ้า ซึ่งเทพเจ้าเหล่านี้สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติทั่วไป จึงเกิดการเรียกว่า พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระวรุณ พระอัคนี และพระคงคา ฯลฯ เช่นในศาสนากรีกโบราณและศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังนับถือผู้ที่ตนเคารพ เช่น บิดา มารดา บรรพบุรุษ พระมหากษัตริย์ และวีรบุรุษ ฯลฯ ว่าเมื่อตายไปแล้วก็จะกลายเป็นเทพเจ้าสิงสถิตอยู่ในที่ทั่วไป เช่น บ้านเรือน เป็นต้น ที่เรียกกันว่า เจ้าที่เจ้าทาง หรือผีบ้านผีเรือน
เทวนิยม
ในสมัยต่อมา มนุษย์บางพวกเกิดความคิดว่า เทพเจ้าต่างๆ น่าจะมีฐานะสูงต่ำลดหลั่น อย่างมนุษย์ ทั้งน่าจะมีเทพเจ้าสูงสุดเหนือกว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ดุจพระราชาเป็นใหญ่กว่า ปวงประชา พระองค์ทรงมีอำนาจสูงสุด เช่น ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่ง ตลอดทั้งกำหนดชะตากรรม ของมนุษย์ ดูแลความเป็นไปของโลก พวกที่มีความเชื่อดังกล่าว ยังมีความคิดแตกต่างกันไปอีก บางคนมีความเห็นว่าเทพเจ้าสูงสุดมีหลายองค์ เช่น ศาสนาพราหมณ์ ก็เรียกว่า พหุเทวนิยม บางคนมีความเห็นว่า เทพเจ้าสูงสุดมี 2 องค์ คอยทัดทานอำนาจกัน ฝ่ายหนึ่งสร้างแต่สิ่งที่ดี แต่อีกฝ่ายหนึ่งสร้างแต่สิ่งไม่ดี ดังที่มีสิ่งคู่กันอยู่ในโลก เช่น ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ก็เรียกว่า ทวิเทวนิยม และบางคนมีความเห็นว่า เทพเจ้าสูงสุดหรือพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น เช่น พระเจ้าในศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ก็เรียกว่า เอกเทวนิยม
อเทวนิยม
กาลต่อมามนุษย์บางคนมีความเห็นว่า พระเจ้าสูงสุดดังที่เชื่อกันนั้นไม่มี เป็นเพียงมนุษย์คิดกันขึ้นมาเอง เห็นได้จากการที่คุณลักษณะต่างๆ ของเทพเจ้า ได้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และเพิ่มมากขึ้นทุกที ทั้งนี้ก็เพราะมนุษย์เป็นต้นเหตุ แล้วก็หลงเคารพนับถือในสิ่งที่ตนสร้างขึ้นมา ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกันขึ้นมา ดำรงอยู่ไม่ได้ด้วยตัวเอง สำหรับมนุษย์แล้ว กรรมหรือการกระทำของมนุษย์ต่างหากที่สำคัญที่สุด สามารถดลบันดาลชีวิตให้เป็นไปอย่างไรก็ได้ ความเชื่ออย่างนี้เรียกว่า อเทวนิยม
1.5 มูลเหตุการเกิดของศาสนา
มูลเหตุที่ทำให้เกิดศาสนานั้นมีมากมายหลายอย่าง แล้วแต่สภาพแวดล้อมของแต่ละกลุ่มชนและยุคสมัย ซึ่งนักการศาสนาได้ตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับมูลเหตุที่ทำให้เกิดศาสนา ดังนี้
1. เกิดจากอวิชชา อวิชชาในที่นี้ หมายถึง ความไม่รู้หรือความเข้าใจไม่แจ่มแจ้ง เช่น ไม่เข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติรอบตัวว่า เหตุใดจึงเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือฝนตก เมื่อไม่รู้ ไม่เข้าใจ จึงหาคำตอบออกมาในลักษณะต่างๆ เช่น เข้าใจว่า ฟ้าแลบเนื่องจาก นางมณีเมขลาเอาแก้วมาล่อรามสูร และฟ้าผ่าเพราะรามสูรขว้างขวานไปถูกแก้วแตก เป็นต้น และเมื่อไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ จึงพากันคิดว่าจะต้องมีสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งอาจเป็นเทพยดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ จึงมีการบูชาบวงสรวงอ้อนวอนให้เมตตาปรานี ความคิดเช่นนี้จึงเป็นมูลเหตุทำให้เกิดศาสนาขึ้น ซึ่งศาสนาของคนโบราณจึงมีมูลเหตุมาจากอวิชชา หรือความไม่รู้
2. เกิดจากความกลัว ความกลัวเป็นมูลเหตุ ที่ต่อเนื่องจากอวิชชา กล่าวคือ เมื่อเกิดความไม่รู้หรือไม่เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือ ความกลัว กลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงคิดหาทางเอาอกเอาใจในสิ่งนั้น ในรูปของการเคารพกราบไหว้ เซ่นสรวงบูชา ตลอดจนบนบานศาลกล่าว เพื่อไม่ให้บันดาลภัยพิบัติแก่ตน แต่ให้บันดาลความสุขสวัสดีมาให้ เป็นต้น
3. เกิดจากความภักดี ความภักดีในทางศาสนา หมายถึง ความเชื่อและความเลื่อมใส ด้วยมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเชื่อและเลื่อมใสนั้น เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถอำนวยประโยชน์แก่ตนได้ ศาสนาที่มีมูลเหตุเกิดจากความภักดีได้แก่ศาสนาประเภทเทวนิยม เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เป็นต้น
4. เกิดจากความต้องการความรู้แจ้งความจริงของชีวิต ความต้องการความรู้แจ้งเป็นมูลเหตุให้เกิดศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาที่เน้นความรู้ประจักษ์แจ้งความจริงเป็นสำคัญ
5. เกิดจากความต้องการความสงบสุขของสังคม
กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และกติกา ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้สังคมสงบสุขได้ จำเป็นต้องมีคำสอนของศาสนาช่วยขัดเกลาอบรมจิตใจของคนในสังคมให้มีความละอาย ต่อการทำชั่ว กลัวต่อการทำผิด เมื่อใช้กฎหมายควบคู่กับคำสอนทางศาสนาแล้วย่อมทำให้สังคมมีความสงบสุข ยิ่งขึ้น
1.6 ประเภทของศาสนา
เนื่องจากมนุษย์มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และความเชื่อถือ จึงทำให้เกิดศาสนาหลายรูปแบบขึ้น เพื่อความสะดวกในการศึกษา จำเป็นจะต้องมีการแบ่งศาสนาออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะและสภาพการณ์จริงในปัจจุบันของศาสนาเหล่านั้น ดังนี้
1.6.1 แบ่งตามลักษณะของศาสนา แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1. เอกเทวนิยม (Monotheism) เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม เป็นต้น
2. พหุเทวนิยม (Polytheism) เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ เช่น ศาสนาฮินดู และศาสนากรีกโบราณ เป็นต้น
3. สัพพัตถนิยม (Pantheism) เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ในทุกคน ทุกแห่ง เช่น ศาสนาฮินดู (บางลัทธิ) ถือว่าพระพรหมสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่ง
4. อเทวนิยม (Atheism) ไม่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน
ทั้ง 4 ประเภทนี้ อาจย่อลงเป็น 2 คือ
- เทวนิยม (Theism) เป็นศาสนาที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก ได้แก่ ศาสนา
-พราหมณ์-ฮินดู ศาสนายิว (ยูดาย) ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ
- อเทวนิยม (Atheism) เป็นศาสนาที่ปฏิเสธเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน
1.6.2 แบ่งตามสภาพการณ์จริงในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ศาสนาที่ตายแล้ว (Dead Religions) หมายถึง ศาสนาที่เคยมีผู้นับถือในอดีตกาล แต่ปัจจุบันไม่มีผู้นับถือแล้ว คงเหลือแต่ชื่อในประวัติศาสตร์เท่านั้น มี 12 ศาสนา ได้แก่
1.1 ในทวีปแอฟริกา 1 ศาสนา คือ ศาสนาของอียิปต์โบราณ
1.2 ในทวีปอเมริกา มี 2 ศาสนา คือ
(1) ศาสนาของเปรูโบราณ
(2) ศาสนาของเม็กซิกันโบราณ
1.3 ในทวีปเอเชีย มี 5 ศาสนา คือ
(1) ศาสนามิถรา (Mithraism) ได้แก่ ศาสนาที่นับถือพระอาทิตย์ ของพวกเปอร์เซีย
(2) ศาสนามนีกี (Manichaeism) มีผู้นับถือระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3-5 ชื่อศาสนาตั้งขึ้นตามชื่อผู้ตั้งศาสนานี้ เรียกทั่วไปว่า มนี ศาสนานี้ถือว่าพระเจ้ากับซาตาน หรือพญามาร เป็นของคู่กันชั่วนิรันดร
(3) ศาสนาของชนเผ่าบาบิโลเซีย
(4) ศาสนาของชนเผ่าฟีนิเซีย
(5) ศาสนาของพวกฮิตไตต์ (Hittites) ชนพวกนี้เป็นชนชาติโบราณที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเอเชียไมเนอร์
1.4 ในทวีปยุโรป มี 4 ศาสนา คือ
(1) ศาสนาของพวกกรีกโบราณ
(2) ศาสนาของพวกโรมันโบราณ
(3) ศาสนาของพวกติวตันยุคแรก
(4) ศาสนาของพวกที่อยู่ ณ แหลมสแกนดิเนเวีย (สวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก)
2. ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ (Living Religion) หมายถึง ศาสนาที่ยังมีผู้นับถืออยู่ ในปัจจุบันมี 12 ศาสนา ดังนี้
2.1 ศาสนาที่เกิดในเอเชียตะวันออก
1.1 ศาสนาเต๋า
1.2 ศาสนาขงจื๊อ
1.3 ศาสนาชินโต
2.2 ศาสนาที่เกิดในเอเชียใต้
2.1 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
2.2 ศาสนาเชน
2.3 ศาสนาพุทธ
2.4 ศาสนาซิกข์
2.3 ศาสนาที่เกิดในเอเชียตะวันตก
3.1 ศาสนาโซโรอัสเตอร์
3.2 ศาสนายูดาย หรือยิว
3.3 ศาสนาคริสต์
3.4 ศาสนาอิสลาม
3.5 ศาสนาบาไฮ
1.6.3 แบ่งตามลำดับแห่งวิวัฒนาการของศาสนา แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ศาสนาธรรมชาติ (Natural Religion) คือศาสนาที่นับถือธรรมชาติ มีความรู้สึกว่าในธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ภูเขา ป่าไม้ ฯลฯ มีวิญญาณสิงอยู่ จึงแสดงความเคารพนับถือโดยการเซ่นสรวง สังเวย เป็นต้น การที่มนุษย์เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติแล้วใช้ความรู้สึกสามัญของมนุษย์ตัดสิน กระทั่งทำให้เกิดความเชื่อว่าทุกอย่างต้องมีผู้สร้าง ธรรมชาตินั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่เหนือธรรมชาติคอยควบคุมอยู่ ซึ่งเป็นการแสดงออกของศาสนาดั้งเดิม และเป็นขั้นแรกที่มนุษย์แสดงออกเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ
2. ศาสนาองค์กร(Organized Religion) ศาสนาประเภทนี้มีวิวัฒนาการมาโดย ลำดับ เป็นศาสนาที่มีการจัดรูปแบบ มีการควบคุมเป็นระบบ จนถึงกับก่อตั้งในรูปสถาบันขึ้น อาจเรียกว่า ศาสนาทางสังคม (Associative Religion) ซึ่งมีการจัดระบบความเชื่อตอบสนองสังคม โดยคำนึงถึงความเหมาะสมแก่สภาวะของแต่ละสังคมเป็นหลัก และก่อรูปเป็นสถาบันทางศาสนาขึ้น เป็นเหตุให้ศาสนาประเภทนี้มีระบบและรูปแบบของตัวเอง มีความมั่นคงถาวรในสังคมสืบมา เช่น ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ เป็นต้น
1.6.4 แบ่งตามประเภทของผู้นับถือศาสนา แบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ
1. ศาสนาเผ่า (Tribal Religion) คือ ศาสนาของคนในเผ่าใดเผ่าหนึ่ง เป็นความเชื่อของกลุ่มชนในเผ่า เช่น ศาสนาของคนโบราณเผ่าต่างๆ ซึ่งได้พัฒนาการขึ้นเป็นศาสนาชาติ เช่น ศาสนาฮินดู ศาสนาเชน ศาสนายูดาย ศาสนาชินโต และศาสนาขงจื๊อ ศาสนาฮินดูนับถือกันเฉพาะในประเทศอินเดีย ศาสนาโซโรอัสเตอร์นับถือเฉพาะในหมู่ชนเผ่าเปอร์เซีย ศาสนายูดายหรือศาสนายิวนับถือกันเฉพาะในหมู่ชาวอิสราเอล ศาสนาชินโตนับถือเฉพาะในหมู่ ชาวญี่ปุ่น และศาสนาขงจื๊อก็นับถือเฉพาะในหมู่ชาวจีน
2. ศาสนาโลก (World Religion) คือ ศาสนาที่มีผู้นับถือกระจายอยู่ทั่วโลก ไม่จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และที่ใดที่หนึ่ง เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าศาสนาสากล
3. ศาสนานิกาย (Segmental Religion) คือ ศาสนาที่เกิดจากศาสนาใหญ่ หรือนิกายย่อยของศาสนาสากล ซึ่งเกิดขึ้นจากสาเหตุความกดดันทางสังคม เช่น การเหยียดสีผิวสิทธิทางกฎหมาย ความไม่เท่าเทียมกัน ฯลฯ กลุ่มบุคคลที่เสียเปรียบทางสังคมจึงหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านี้และธำรงไว้ซึ่ง วัฒนธรรมของตน จึงฟื้นฟูลัทธิศาสนาและระบบทางสังคมให้เป็นของตัวเองขึ้นมาใหม่ โดยรวบรวมผู้คนที่เห็นด้วยทำการเผยแผ่ศาสนาและวัฒนธรรมของตนในต่างแดน เช่น กลุ่มชาวพุทธในอินโดนีเซีย กลุ่มมุสลิมดำในอเมริกา กลุ่มโซโรอัสเตอร์ในอินเดีย กลุ่มฮินดูในแอฟริกาใต้ เป็นต้น โดยอาศัยศาสนาเป็นพลังชี้นำ
1.7 ความสำคัญของศาสนา
ศาสนานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าศาสนาใดๆ ก็ตาม ล้วนแต่มีลักษณะร่วมสำคัญ คือ สอนคนให้เป็นคนดี มีศีลธรรมประจำใจ อยู่ในสังคมได้อย่างสันติสุข อีกทั้งยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และมีหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องและปลอดภัย ดังนั้นศาสนาจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ทุกรูปทุกนาม ไม่ว่ามนุษย์จะเจริญหรือล้าหลังก็ตาม ก็ย่อมมีศาสนาประจำบ้านเมือง ประจำหมู่คณะ หรืออย่างน้อยก็ประจำตระกูลหรือครอบครัว ความสำคัญของศาสนานอกจากที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีอีกนานัปการ เช่น
1. ศาสนาเป็นเครื่องสั่งสอนให้มนุษย์ประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกต้องดีงาม เป็นประโยชน์ ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติ
2. ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งศีลธรรมจรรยาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ชอบ อันเป็นเครื่องประกอบให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี มีเอกลักษณ์ อารยธรรม และวัฒนธรรมอันดีงาม เป็นของตนเอง
3. ศาสนาเป็นเครื่องบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่มนุษย์ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
4. ศาสนาเปรียบเสมือนดวงประทีปโคมไฟที่ให้ความสว่างไสวแก่เส้นทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในโลก
5. ศาสนาช่วยทำให้ชีวิตครอบครัวอบอุ่น เป็นแหล่งผลิตทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าให้แก่สังคม
6. ศาสนาเป็นพลังใจให้มนุษย์สามารถเผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญ ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม ทำให้มีความสงบสุขและผาสุกในชีวิต
7. ศาสนาช่วยยกระดับจิตใจ ทำให้เป็นผู้ควรแก่การเคารพนับถือ อีกทั้งยังช่วยสร้างจิตสำนึกในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ให้กับคนในสังคมอีก ด้วย
8. ศาสนาช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อกัน ช่วยขจัดช่องว่างทางสังคม สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้น เป็นรากฐานแห่งความสามัคคี การร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชน และสร้างความสงบสุขความมั่นคงให้แก่ชุมชน
9. ศาสนาช่วยให้มนุษย์ได้ประสบความสุขสงบและสันติสุขขั้นสูง จนกระทั่งบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ หมดทุกข์โดยสิ้นเชิงได้
10. ศาสนาเป็นมรดกล้ำค่าแห่งมนุษยชาติ เป็นความหวังและวิถีทางสุดท้ายแห่งความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ
1.8 คุณค่าทางศาสนา
ศาสนามีคุณค่านานัปการ คุณค่าของศาสนาที่มีต่อมนุษย์เป็นคุณค่าทางจิตใจ อันถือว่าสูงกว่าคุณค่าทางวัตถุ คุณค่าของศาสนาที่พอประมวลได้ เช่น
1. เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ คือ เป็นที่พึ่งทางใจ ทำให้ไม่รู้สึกอ้างว้าง ว้าเหว่จนเกินไป
2. เป็นบ่อเกิดแห่งความสามัคคีของหมู่คณะ รวมถึงความสามัคคีในหมู่มวลมนุษยชาติ
3. เป็นบ่อเกิดแห่งการศึกษาทั้งในด้านพุทธิศึกษา จริยศึกษา และศีลธรรมจรรยา
4. เป็นบ่อเกิดแห่งจริยธรรม ศีลธรรม และคุณธรรม
5. เป็นบ่อเกิดแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามทั้งหลาย
6. เป็นเครื่องดับความเร่าร้อนทางใจ ทำให้ใจสงบเย็น
7. เป็นดวงประทีปส่องโลกที่มืดมิด
8. เป็นสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์ เพราะสัตว์ไม่มีศาสนา
1.9 ประโยชน์ของศาสนา
เมื่อมนุษย์ได้นำหลักศาสนาไปประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิตของตนอย่างสม่ำเสมอ แล้ว ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ต่อตนเองอย่างแน่นอน ประโยชน์ของศาสนาโดยภาพรวมมีดังนี้
1. ศาสนา ช่วยทำให้คนมีจิตใจสูงและประเสริฐกว่าสัตว์
2. ศาสนาช่วยทำให้คนมีวินัยในตัวเองสูง
3. ศาสนาช่วยทำให้คนในสังคมอยู่กันได้อย่างสงบสุข
4. ศาสนาช่วยส่งเสริมและสร้างสรรค์ผลงานอันมีคุณค่าทางด้านศิลปะ และวัฒนธรรมแก่สังคม
5. ศาสนาช่วยให้คนมีความอดทน ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ไม่ดีใจจนเกินเหตุเมื่อประสบกับอารมณ์ดี และไม่เสียใจจนเสียคนเมื่อเผชิญกับเหตุร้าย
6. ศาสนาช่วยประสานรอยร้าวในสังคมมนุษย์ ทำให้สังคมมีเอกภาพในการทำ การพูด และการคิด
7. ศาสนาทำให้มนุษย์ปกครองตนเองได้ในทุกสถานและทุกเวลา
8. ศาสนาสอนให้มนุษย์มีจิตใจสะอาด ไม่กล้าทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
9. ศาสนาทำให้มนุษย์ผู้ประพฤติตาม พ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน และช่วยให้ประสบความสงบสุขทางจิตใจอย่างเป็นลำดับขั้นตอนจนบรรลุเป้าประสงค์ สูงสุดของชีวิต
10. ศาสนาช่วยให้มนุษย์มีความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำให้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ได้อย่างมีความสุข
11. ศาสนาช่วยให้มีหลักในการดำเนินชีวิต ให้ชีวิตมีความหมายและความหวัง และช่วยให้เกิดเสถียรภาพและความสงบสุขในสังคม
free programes
Posted by
sereykh
at
19:58
0
comments
Labels: ប្រវត្តិសាសនាក្នុងលោក ជាភាសាសៀម